"ประวิตร” ปัดไม่รู้จัก “สองนายพลจีน”ทุจริตในกองทัพ อ้างสนิทแค่ “เมิ่งเจี้ยนจู้” ยันซื้อแบบจีทูจีไม่ผ่านบริษัท มีคนบิดเบือนทำให้ตนเองเป็นตำบลกระสุนตก อัยการส่งฟ้อง "วีระ" คดีชุมนุมอยากเลือกตั้ง โอดคงเพราะถูกหมั่นไส้ตรวจสอบนาฬิกา "เสี่ยป้อม" ด้าน คสช.แจ้งความ "เอกชัย-โชคชัย” ข้อหาแจ้งความเท็จ หลังไปฟ้อง “บิ๊กแดง” ผิดมาตรา 113 เป็นกบฏ ชี้ทำให้ภาพลักษณ์กองทัพเสียหาย
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 22 ตุลาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีกองทัพปลดแอกประชาชนจีนสั่งปลดและยึดทรัพย์นายทหารระดับนายพล 2 นายคือ ฝางเฟิงฮุย ประธานคณะเสนาธิการร่วมและคณะกรรมาธิการทหารกลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และจาง หยาง สมาชิกของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังพัวพันการทุจริตในกองทัพ ซึ่งทั้งสองคนถูกตั้งข้อสังเกตว่าเคยเดินทางมาหารือเรื่องอาวุธกับกองทัพของไทยว่า บุคคลดังกล่าวเป็นคนละคนกับที่เคยเดินทางมาพูดคุยกับตน คนที่มาคือนายเมิ่งเจี้ยนจู้ ซึ่งเกษียณอายุราชการไปแล้ว
"เรื่องดังกล่าวเราไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย และการเจรจาซื้อ-ขายอาวุธ ทำในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ไม่ได้ดำเนินการผ่านบริษัท ที่เราสนิทคือนายเมิ่งเจี้ยนจู้ อดีตกรรมการประจำคณะกรรมการกลาง และเลขาธิการคณะกรรมการการเมืองและกฎหมายพรรคคอมนิวนิสต์จีนคนเดียว ส่วนสองคนนั้นเราไม่รู้จัก สื่อชอบเอาเรื่องของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไปเขียนเลอะเทอะ ชอบทำให้ผมเป็นตำบลกระสุนตก มันไม่ใช่เรื่องจริง แล้วสื่อชอบพูดเรื่องไม่จริงให้เป็นจริง"
ผู้สื่อข่าวถามว่า ยิ่งใกล้เข้าสู่ช่วงเลือกตั้งเท่าไร เหมือนว่าคนในรัฐบาลและ คสช.จะถูกขุดคุ้ยมากขึ้น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ตนไม่เกี่ยว เพราะไม่ได้เล่นการเมือง และ คสช.ไม่เคยทำอะไรที่ผิด ทุกอย่างที่ทำมีการประชุมร่วมกัน ทำไปตามตัวบทกฎหมาย
เมื่อถามว่า ทำไมจึงมีข่าวแบบนี้ออกมา พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เพราะคนมันจะบิดเบือน ว่ารู้จักคนระดับสูงใน คสช. ยืนยันการจัดซื้ออาวุธเป็นแบบจีทูจี เราไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย เป็นเรื่องของกองทัพ ไปพิจารณาว่าจะเอาอะไร ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย
ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ นำตัวส่งฟ้องนายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน หนึ่งในผู้ต้องหาคดีชุมนุมกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ชุด MBK39 ในส่วนแกนนำจากการชุมนุมบริเวณสกายวอล์ก แยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2561 มาส่งฟ้องเป็นคนแรก เนื่องจากวันที่นัดส่งฟ้องอีก 8 คนที่เหลือ ในวันที่ 1 พ.ย.2561 คือ นายอานนท์ นำภา, นายรังสิมันต์ โรม, นายสิริวิชญ์ เสรีธิวัฒน์, นายเอกชัย หงส์กังวาน, น.ส.ณัฎฐา มหัทธนา, นายสุกฤษฎ์ เพียรสุวรรณ, นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล และนายสมบัติ บุญงามอนงค์ นั้น นายวีระไม่สามารถเดินทางมาได้ จึงเดินทางมาฟังคำสั่งในวันนี้
โดยคดีนี้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ข้อ 12, ข้อหาชุมนุมภายในรัศมี 150 เมตร จากเขตพระราชฐาน ตามมาตรา 7 พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ และข้อหายุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 รวม 3 ข้อหา โดยได้บรรยายพฤติการณ์ของกลุ่มที่ถูกแจ้งข้อหาตามมาตรา 116 ด้วย สรุปได้ว่า ในเหตุการณ์วันดังกล่าว นายเนติวิทย์, นายวีระ, น.ส.ณัฎฐา, นายรังสิมันต์, นายสิรวิชญ์, นายเอกชัย มีการเสวนาที่สวนครูองุ่น ในซอยทองหล่อ ในการเสวนามีการกล่าวถึงการชุมนุมที่สกายวอล์กหน้าห้าง MBK หลังเสวนา พวกเขาเดินทางไปรวมชุมนุมด้วย ซึ่งบริเวณที่ชุมนุมอยู่ห่างจากวังสระปทุม 148.53 ม. ได้มีการผลัดกันปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาลและ คสช.ว่ามีการทุจริตใช้อำนาจไม่เป็นธรรม และเรื่องการเลื่อนเลือกตั้ง รวมถึงมีการชักชวนให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุม โค่นล้มรัฐบาลและ คสช.
โดยนายวีระ, นายสมบัติ, นายเอกชัย ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนพร้อมแสดงป้าย “หมดเวลา คสช.” โดยในชั้นพนักงานสอบสวนส่งฟ้องต่ออัยการ ศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวน ให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์
นายวีระกล่าวว่า เบื้องต้นศาลเรียกหลักทรัพย์เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว จำนวน 120,000 บาท แต่ด้วยตนไม่ได้เตรียมหลักทรัพย์มา เนื่องจากให้ทนายประสานมาแล้ว แต่ทางศาลแจ้งว่าไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ เพียงแค่สาบานตน ตนต้องทำเรื่องขอปล่อยตัวชั่วคราวโดยที่ไม่ต้องวางเงินประกัน จึงต้องเข้าโครงการประเมินความเสี่ยง กว่าจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ ทั้งนี้ การปล่อยตัวน่าจะเป็นกรณีๆ ไป ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล อย่าเพิ่งไปเข้าใจว่าเป็นบรรทัดฐาน
นายวีระกล่าวต่อว่า ตนถูกแจ้งข้อกล่าวหายุยงปลุกปั่นเพิ่มเติมที หลังคนอื่นๆ ในวันดังกล่าวตนได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่มาขอสัมภาษณ์เท่านั้น ไม่ได้ร่วมขึ้นปราศรัย และอยู่ในบริเวณนั้นเพียงครู่เดียวเท่านั้น ยังโดนคดีไปด้วย คงข้อหาหมั่นไส้ คิดว่าสาเหตุที่โดนคดีน่าจะมาจากการที่ตนเป็นผู้ที่ตรวจสอบการทุจริตของบรรดาผู้นำใน คสช. รวมถึงในวันดังกล่าวตนไปร่วมเป็นวิทยากรในงานเสวนาเรื่องนาฬิกา 25 เรือนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ รวมถึงตนเป็นคนยื่นเรื่องนาฬิกานี้ต่อ ป.ป.ช.
"ทำให้คิดว่าสิ่งที่ทำให้ผมโดนคดีนี้มาจากเรื่องนาฬิกา ขณะนี้ในเรื่องของนาฬิกา พล.อ.ประวิตร ผมก็ยังตามอยู่ตลอด มีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมก็จะนำไปยื่นเพิ่มอยู่ตลอด ก็ยังคงไม่มีความคืบหน้า ซึ่ง ป.ป.ช.ก็ยังคงยืนยันว่ายังตรวจสอบไม่เสร็จสิ้น ไม่รู้จะตรวจสอบไปอีกนานเท่าไร คดีที่ผมยื่นฟ้องต่อ ป.ป.ช.คดีล่าสุดใช้เวลาสอบสวน 12 ปี คดีก่อนหน้านี้ 14 ปี แต่ในที่สุดก็บอกว่าทำอะไรไม่ได้"
เมื่อถามว่า คาดหวังอย่างไรต่อการตรวจสอบของ ป.ป.ช.ในเรื่องนาฬิกา พล.อ.ประวิตร นายวีระกล่าวว่า ตนไม่อยากชี้โพรงให้กระรอก ไม่พูดดีกว่า รอมีมาตรการไม่ให้ลอยนวลอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ยังไม่มั่นใจว่าในวันที่ 24 ก.พ.2562 จะได้เลือกตั้ง แต่เป็นเรื่องที่ดีแล้วที่กลุ่ม FFFE จะมาช่วยกันจับตาดูการเลือกตั้ง ถ้าหากจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงๆ เชื่อว่าจะมีการทุจริตกันอย่างมากมายเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน คสช.ได้ให้ฝ่ายกฎหมายเดินทางไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดีกับนายเอกชัย หงส์กังวาน และนายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ นักกิจกรรมทางการเมือง ที่ สน.ลาดพร้าว ในข้อหาแจ้งความเท็จ ตามความผิดประมวลอาญามาตรา 137 ที่ระบุว่า ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 172 ระบุว่า ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 173 ระบุว่า ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่า ได้มีการกระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
สืบเนื่องจากภายหลังที่นายเอกชัยและนายโชคชัยไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และเลขาธิการ คสช. ในข้อหาผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ที่ระบุว่า ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ (1) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ (2) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ (3) แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
โดยทาง คสช.พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าว ทำให้ภาพลักษณ์ของกองทัพได้รับความเสียหาย เนื่องจากวันที่ พล.อ.อภิรัชต์ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเป็นวันที่มีการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) เท่ากับเป็นการกล่าวหาว่า พล.อ.อภิรัชต์ จะนำกองทัพทำการรัฐประหาร โดยหลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะมีการเชิญนายเอกชัยและนายโชคชัยมาให้ปากคำต่อไป.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |