พรรคการเมืองขนาดกลาง ที่ถูกมองว่าจะเป็น พรรคตัวแปร สำคัญหลังเลือกตั้ง โดยเฉพาะในการจัดตั้งรัฐบาล นั่นก็คือ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ซึ่งที่ผ่านมา แม้จะมีอดีต ส.ส.-อดีตผู้สมัคร ส.ส.บางส่วนย้ายไปอยู่พรรคการเมืองอื่น แต่ก็พบว่ามีอดีตรัฐมนตรี-อดีต ส.ส.จากพรรคการเมืองอื่นจำนวนไม่น้อย รวมถึงผู้คนในวงการต่างๆ เช่น พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ อดีตรองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย จนทำให้แวดวงการเมืองมองว่าพรรค ภท.อาจเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลของบางขั้วการเมือง
อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พูดถึงแนวทางการเมืองของพรรคไว้ หลังถามว่าช่วงเลือกตั้งอาจมีการหาเสียงโดยแบ่งขั้วพรรคการเมืองเป็นขั้วหนุน คสช.-ทหาร และขั้วประชาธิปไตย ทางพรรคภูมิใจไทยจะยืนอยู่ข้างไหน โดยเขาบอกว่า ผมพูดแต่เพียงว่า ภูมิใจไทยอยู่ข้างประชาชน อยู่ข้างประเทศชาติ เป็นนักการเมืองต้องทราบว่าประชาชนต้องการอะไร ไม่ต้องให้มีใครมาชี้นำ ไม่ต้องให้ใครอธิบาย หรือโน้มน้าวใดๆ เวลาทำอะไรแล้วเราตั้งใจแน่วแน่ เราไม่แคร์อะไร ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เรากลัวอย่างเดียวคือไม่สามารถทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมืองและประชาชน ที่เหลือไม่มีความหมายใดๆ กับพรรคภูมิใจไทย ตัดสินใจง่ายใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที
“จะไม่ยอมให้ถูกผลักไปอยู่ขั้วไหน พรรคของเราอยู่บนถนนของเรา มีเส้นทางของเรา ไม่ได้วิ่งไปบนเส้นทางของคนอื่น ถนนส่วนบุคคล ไม่ใช่ถนนสาธารณะที่ใครจะมานั่งบอกให้วิ่งไปทางไหน
เราไม่ได้วางตัวเป็นพรรคกลางๆ แต่วางตัวเป็นพรรคของประชาชน พรรคที่ฟังเสียงประชาชน ไม่เคยมีความเป็นกลาง และทำเพื่อประเทศชาติอย่างเดียว ไม่มีติดค้าง หนี้สิน หนี้บุญคุณใครที่จะไปนั่งชดใช้ หรือไปถือหาง โน้มเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยย้ำจุดยืนพรรคภูมิใจไทย
-การจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง จำเป็นหรือไม่ ที่พรรคการเมืองที่ได้เสียง ส.ส.มาอันดับหนึ่งจะได้สิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลก่อน?
ถ้าอะไรทำตามกติกา หลักสากลที่ทุกคนยอมรับในระบอบประชาธิปไตย อธิบายให้คนทั่วไปยอมรับ ผมก็พร้อมจะทำตามกติกา หากพรรคอันดับหนึ่งจัดตั้งได้ก็สวย แต่ถ้าอันดับหนึ่งจัดตั้งไม่ได้ ก็ไล่ลงมาเรื่อยๆ ไม่มีใครบังคับใครได้ เพราะประชาชนจะเป็นคนตัดสิน ซึ่งเชื่อว่าไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลในตอนนี้
“อนุทิน” กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยมีความพร้อมในการเลือกตั้งตลอดเวลา เพราะตั้งแต่รัฐประหาร คสช.เมื่อปี 2557 ก็คิดว่าการเลือกตั้งไม่เกิน 18 เดือน หรือเต็มที่ก็ไม่เกิน 2 ปี จึงได้เตรียมความพร้อมช่วงรัฐประหารใหม่ๆ เพราะเชื่อมั่นว่ายังไงก็ต้องมีการเลือกตั้ง ดังนั้นความพร้อมในเรื่องนโยบาย ผู้สมัครรับเลือกตั้งก็อยู่ในแผนการเลือกตั้งของพรรคมาตั้งนานแล้ว
จุดเด่นของพรรคภูมิใจไทย ที่สำคัญคือไม่มีความขัดแย้งกับใคร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการเมือง กลุ่มนักเคลื่อนไหว กลุ่มทหาร กลุ่มข้าราชการ ขณะที่บทบาทการเมืองก็ตั้งหน้าตั้งตาตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเมืองอย่างเดียว เรามีคุณลักษณะนี้ชัดเจนว่าความสำเร็จใดๆ หรือความก้าวหน้าใดๆ ไม่มีทางมาด้วยความขัดแย้ง ส่วนนโยบายของพรรคที่จะทำให้เกิดความไม่สบายใจหรือไม่ปรองดองเราก็ไม่ทำ
หลักของเราคือเล่นตามกติกา ไม่เล่นนอกกติกา เคารพกติกา เคารพกฎหมาย แต่นโยบายของเราสิ่งแรกไม่มีอะไรที่จะสำคัญไปกว่าชาติบ้านเมืองเป็นหลัก และความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชน ปัญหาปากท้องของเขา และทำให้สังคมมีความสงบสุข คนในชาติมีความสามัคคีเป็นปึกแผ่น เพราะผมก็เห็นแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางนั้นได้ เพราะทุกคนก็คงเบื่อทะเลาะเบาะแว้ง การเห็นต่างไม่เล่นอยู่ในกติกา ไม่เคารพกติกาประชาธิปไตย ในสภาชนะไม่ได้ก็ออกมานอกสภา ก็ทำให้ไม่มีความสงบ แตกความสามัคคี เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา
หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้ความเห็นว่า ระบอบรัฐสภาดีอยู่แล้ว กลับไม่ใช้กติกา เท่ากับเปิดโอกาสทำให้ระบอบอื่นเข้ามาจัดการบ้านเมือง แล้วคนที่อยู่ในระบบก็แพ้หมด ถูกกันออกไปนอกเวที แต่ก็โทษคนที่เข้าก็ไม่ได้ เพราะคนที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตย ไม่เคารพคำว่าประชาธิปไตย ไม่เคารพเสียงข้างมาก ดังนั้นหากทุกฝ่ายเคารพรัฐธรรมนูญที่ตราไว้ชัดเจน ก็จะไม่มีทางสิ่งแปลกปลอมนอกระบอบเข้ามา แต่เราทำตัวเองจะไปโทษใคร
-หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกับคนในพรรคอย่าง เนวิน ชิดชอบ มีสายสัมพันธ์อันดีกับ คสช. โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ?
มนุษย์ทุกคนย่อมมีสังคม มีใครคนไหนขึ้นมาสู่เส้นทางการเมืองแล้วจะไม่รู้จักกัน ทำไมไม่ถามกลับว่า คสช.รู้จักฝ่ายการเมืองบ้างหรือไม่ อย่างผมก็สนิทกับหลายคน หัวหน้าพรรคประชาธิปปัตย์ หัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรคเพื่อไทย หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ก็สนิททุกคน ยิ่งหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนายิ่งสนิท เพราะเรียกเป็นพี่เป็นน้องกัน แล้วทำไมต้องมาบอกว่าผมสนิทชิดเชื้อกับ พล.อ.ประวิตร หรือ พล.อ.ใดๆ เท่านั้นเป็นพิเศษ ซึ่งก็ไม่ใช่
..ผมพบกับ พล.อ.ประวิตร ในฐานะที่มาเยือนจังหวัดบุรีรัมย์ เคยพบกับ พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ ท่านก็มาประชุม ครม.สัญจรที่เมืองบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา และจังหวัดบุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทยก็อยู่ในนั้น ซึ่งเป็นเรื่องชัดเจนที่แขกไปใครมาก็ต้องมาต้อนรับด้วยการให้เกียรติกัน ทั้งในตำแหน่ง ทั้งความอาวุโสและวัยวุฒิ ไม่มีอะไรจะต้องมาไม่ชอบกัน อีกทั้งก็ไม่ได้มีอะไรบอกว่าสนิทกันแบบนี้แล้วความคิดเห็นหรือจะต้องเหมือนกัน เพราะทุกอย่างของพรรคภูมิใจไทยคือประเทศชาติและประชาชน
เมื่อถามว่า พรรคภูมิใจไทยมีโอกาสเป็นรัฐบาลสูง อนุทิน-หัวหน้าพรรค ภท. ตอบเรื่องนี้ว่า มีคนมาถามผมว่าเราจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ คำตอบของผมตอบกลับไปว่า คุณเข้าสภาให้ได้ก่อน จะเป็นหรือไม่เป็นรัฐบาลอยู่ที่พวกคุณ ว่าจะทำความน่าเชื่อถือให้ประชาชนมากแค่ไหน ถ้าเขาเลือกคุณเข้าไปเยอะก็จะเป็นอย่างอื่นๆ ไปไม่ได้ แต่เป้าหมายแรกที่พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของผม คือนำความเชื่อมั่นจากประชาชนมาเป็นตัวแปร และทำให้ผู้สมัครเข้าสภาได้ตามเป้าหมาย ส่วนจะเป็นฝ่ายบริหารหรือฝ่ายค้าน ก็พร้อมยอมรับ เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนมอบให้เรา
เมื่อถามว่า ภูมิใจไทยตั้งเป้า ส.ส.ไว้จำนวนเท่าใด อนุทิน ถามกลับว่า "อยากตั้งเป้าเท่าไหร่ ก็ต้องบอกว่าเป็นไปได้ก็ขอ 350 เขต" (หัวเราะ) แต่ข้อเท็จจริงพูดเช่นนั้นไม่ได้ เพราะตั้งเป้าหมายไปแต่ไม่มีอะไรอยู่ในการควบคุมของเราสักอย่าง ผมต้องบอกอย่างเดียวคือตั้งใจทำงาน เขียนนโยบายที่ออกมาแล้วต้องโดนใจประชาชน และเชื่อถือว่าทำได้ ส่วนที่มีคนพูดว่ารัฐธรรมนูญเอื้อประโยชน์ให้พรรคภูมิใจไทยได้จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อมากขึ้น ผมไม่เคยสนใจตรงนั้น ต่อให้ไม่มีกติกาเช่นนั้น เราก็ทำงานหนัก ไม่ได้เอาเรื่องทุกคะแนนมามีความหมาย และเป็นจุดที่เราจะประมาท เพราะพรรคภูมิใจไทยตั้งเป้าหมาย ถ้าจะชนะต้องชนะในเขต ไม่ใช่ไปเก็บคะแนนของคนอื่นๆ แล้วมาบอกว่าจะชนะที่สองก็ได้ ชนะที่สามก็ได้ แล้วเน้นคะแนนบัญชีรายชื่ออย่างเดียว
...ความสง่างามของพรรคภูมิใจไทยคือทำอย่างไรให้คนที่พรรคคัดเลือกแล้วลงสู่สนามเลือกตั้งชนะการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งของเขา นี่คือเป้าหมายที่ผมวางไว้ให้ดีที่สุด
“ผมยังกล้าประกาศท้าชิงเป็นพรรคอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ มิเช่นนั้นผมจะเป็นผู้นำไม่ได้ เพราะผู้นำต้องเล็งผลเลิศที่สุด ไม่เคยคิดว่าจะขอเป็นพรรคที่สาม ที่สี่ เพราะคนทำพรรคการเมืองต้องทำพรรคให้เป็นที่หนึ่ง ผมบอกคนในพรรคอย่าไปสนใจตัวเลขว่าจะได้ทำเท่าไหร่ ให้ห่วงตัวเองก่อน จะมา 60 เสียง 70 เสียง หรือ 20 เสียง อยู่ที่พวกเขา ไม่ควรทายว่าพรรคจะได้กี่คนกี่เสียง ควรห่วงอย่างเดียวว่าตัวเองจะรอดมาได้หรือเปล่า”
เสี่ยหนู-อนุทิน กล่าวต่อไปว่า ตัวผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยถูกปลูกฝังว่าในสนามรบและการแข่งขันไม่มีที่ยืนสำหรับผู้ที่หวังจะเป็นที่สอง คุณต้องเป็นที่หนึ่งเท่านั้น ไม่มีใครจำที่สองหรือท่านรองได้ มีแต่คนจดจำแชมป์ ไม่มีใครจำรองนางสาวไทยได้สักคน มีแต่จำได้แต่นางสาวไทย ผมจะไม่มีทางตั้งเป้าว่าคุณมาที่สองได้ผมโอเคแล้ว คนที่ผมจะเลือกใครเป็นผู้สมัคร ต้องมั่นใจว่าคนนั้นต้องได้ที่หนึ่ง ถึงจะส่งลงสมัคร ถ้าส่งคนไม่เข้าท่าเลยเพื่อไปหวังคะแนนเล็กๆ น้อยๆ จากประชาชนเพื่อมาเสริมกับบัญชีรายชื่อ เท่ากับพรรคภูมิใจไทยไม่จริงใจกับประชาชน
...เขตไหนสู้ ไม่ได้ก็ไม่ส่ง เราจะต้องส่งผู้ที่ชนะกลับมาทำงาน ไม่ใช่ส่งไปเพื่อให้คนได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อนั่นไม่ใช่ ผมไม่เคยกังวลว่า ส.ส.เขตชนะทุกคน ไม่เหลือที่นั่งในระบบ ส.ส.บัญชีรายชื่อสักคน หากได้ ส.ส.เขตทั้งหมด ผมจะถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในความเป็นหัวหน้าพรรค
สำหรับการส่งคนลงเลือกตั้งเพื่อให้ชนะตามเป้าที่บอกไว้ อนุทิน เปิดเผยว่า พรรคจะมีคนคัดเลือกติดตามผู้สมัครผลงาน ความขยันของผู้สมัครในการลงพื้นที่ ทุกวันนี้พรรคภูมิใจไทยส่งคนสมัครยากมาก ทุกวันนี้ยังปวดหัวเพราะมีพื้นที่ทับซ้อน แต่เราก็มีวิธีตรวจสอบ คนไหนมีความแข็งแกร่ง มีจำนวนผู้คนสนับสนุนมาก ผ่านการทำโพลของพรรค การตรวจสอบของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ที่จะรู้ว่าความนิยมของผู้สมัครเป็นอย่างไรได้อย่างดี เพราะมีความแม่นยำ แม้แต่คนที่เคยเป็นรัฐมนตรีของพรรค ก็ต้องทำงานหนัก ลงพื้นที่ เพราะหัวหน้าพรรคบังคับส่งกิจกรรมที่ตัวเองทำผ่านไลน์มาให้ตัวเองดู
หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เล่าให้ฟังด้วยว่า แต่ละวันเขาต้องดูไลน์ที่คนในพรรค-ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคส่งมาให้ส่วนตัว วันหนึ่งๆ ดูไลน์กว่าพันๆ รูป ว่าผู้สมัครของพรรคไปอยู่ในพื้นที่ไหนของประเทศไทย และทำเพื่อประโยชน์แก่ชาวบ้านหรือไม่
ขอยกตัวอย่างว่า มีอยู่รูปหนึ่งที่ส่งมา พบว่าผู้สมัครนั่งบนโซฟา แต่ชาวบ้านที่เป็นเจ้านายของเขานั่งอยู่กับพื้น ผมเขียนข้อความกลับไป ถ้าไม่เห็นรูปผู้สมัครนั่งที่พื้น และประชาชนนั่งอยู่บนโซฟาภายใน 10 นาที คุณกลับบ้านและลาออกจากพรรคภูมิใจไทยได้เลย และผมก็เห็นรูปต่อจากนั้นว่า ชาวบ้านเปลี่ยนไปนั่งบนโซฟาแทนภายในเวลาที่กำหนด
ดังนั้น คนที่คิดว่าเจ๋งๆ แล้วไม่สนใจลงพื้นที่ คิดว่าอย่างไรก็ได้ พรรคก็มีการสอยลงมาแล้ว และเอาคนมีความแข็งแรงเข้าไปแทนหลายกรณี
“ผมมีความทุ่มเทขนาดนี้ จึงไม่มีอะไรที่กังวลอยู่แล้ว ต่อให้แพ้ก็ตาม ก็ไม่เสียใจ แม้ผมดูหมูๆ แต่ไม่หมู เพราะหลายคนเจอผมร้องจ๊ากมาหลายรายแล้ว” อนุทินกล่าว
-มองอย่างไรกับการที่มีการตั้งพรรคเครือข่ายเพื่อหวังคะแนนบัญชีรายชื่อ เห็นด้วยหรือไม่?
หลอกใครก็ได้ อย่าหลอกประชาชนของตัวเอง เพราะประชาชนเป็นเจ้านายของเรา คนที่หลอกเจ้านายไม่มีใครเจริญ ใครอยากทำอะไรทำ แต่นายอนุทินไม่ทำ เพราะเราทำอะไรตรงไปตรงมา เรามีความจริงใจ ตรงไหนรู้ว่าไม่ไหวก็คือไม่ไหว อย่าไปเสียเวลากับการทำสิ่งที่อ่อนแอ แต่ควรเอาเวลาไปเสียให้กับคนวิ่งเร็วๆอยู่แล้วดีกว่า เพราะอ่อนแอประคองขึ้นมาแล้วเดี๋ยวก็ล้มลงไปอีก
ส่วนเรื่องคนรุ่นใหม่ทางการเมือง พรรคก็มองว่าคนรุ่นใหม่มีความสำคัญ มีนวัตกรรม มีความคิดใหม่ๆ แต่ก็ต้องมีคนรุ่นเก่าที่คอยกระตุกขาคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดแรงๆ อยากจะไปถึงจุดหมายเร็วๆ เพราะในทางการเมือง หากไม่กระตุกขากัน บางทีมันหลุดวงโคจรไปง่ายๆ เพราะไม่ค่อยมีโอกาสที่สองเท่าใดนักที่จะให้แก่มือ ส่วนใหญ่พลาดแล้วพลาดเลย ฉะนั้นจึงพลาดไม่ได้ พรรคภูมิใจไทยจึงเป็นที่รวมของคนที่มีประสบการณ์ผ่านโลก ผ่านร้อนผ่านหนาว คนที่มีแรง มุ่งมั่น คนที่สด คนรุ่นใหม่ พร้อมทำงานด้วยกันโดยเอาผลของงานเป็นที่ตั้ง
...มีคำถามจากสื่อว่า ทำไมพรรคภูมิใจไทยมีอดีตรัฐมนตรี อดีตนักการเมืองชื่อดังตบเท้าเข้าพรรคเป็นจำนวนมาก อาจเพราะเราประกาศชัดเจนคือ ประชาชนเท่านั้นที่จะสั่งเราได้ และเป็นหน้าที่ของพรรคที่จะต้องทำงานทดแทนความไว้วางใจที่ชาวบ้านให้กับเรา พรรคภูมิใจไทยเคยบริหารประเทศ หากยังจำได้ เป็นพรรคที่ตัดสินใจเร็วๆ ถ้ามั่นใจว่าถูกต้อง จะเร่งรัดให้เกิดขึ้นโดยเร็ว พรรคยังเปิดกว้างสำหรับทุกคน ใครจะมาจะไป เราสัมภาษณ์เขา เขาก็ต้องสัมภาษณ์เรา ว่าไปด้วยกันได้หรือเปล่า หากไปกันได้ก็มาร่วมงานทำ หากไปไม่ได้ก็เป็นเพื่อนกัน”
เมื่อถามขณะนี้มีการจับมือกับพรรคการเมืองขั้วพันธมิตรหรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า ดูผลของการเลือกตั้งเป็นหลัก เสียงจะดังหรือไม่ ต้องค่อยดูผลการเลือกตั้ง ไม่มีทางอื่น
"การจับมือก่อนการเลือกตั้งมีครั้งไหนเป็นผลสำเร็จ ที่ผ่านมาล้มเหลวมาตลอด เพราะคนไทยเกลียดคำว่า 'ฮั้ว' เกลียดคำว่าร่วมกันเอาเปรียบ"
ส่วนความขัดแย้งจะเกิดขึ้นหลังเลือกตั้งหรือไม่ ผมขอให้ทุกคนคิดเป็นบวก และต้องเดินไปข้างหน้า ไม่มองอดีต ไม่ฝังใจฝังจำกับอดีต จบตรงที่ประชาชนมาให้สิทธิ์เลือกตั้ง ถือว่าเป็นการรีเซตใหม่ ที่สำคัญตัวเองก็จะไม่เป็นตัวชนวนหรือก่อความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้น
ถามย้ำว่า นายอนุทินอาจมีโอกาสเป็นนายกฯ ตัวแปร หรือนายกฯ ตาอยู่หรือไม่ อนุทิน ตอบไว้ว่า ขอยืนยัน ขอทำให้ดีในการเลือกตั้งก่อน ผลการเลือกตั้งออกมาเป็นเช่นใด ทราบดีว่าจะเป็นตัวไหน ผมจะคว้าตัวโขนไหนมาใส่ แต่ก็ต้องเป็นคนคว้าเอง ไม่ต้องให้ใครมาใส่ให้ ผมโตขนาดนี้แล้ว มีวุฒิภาวะ เป็นถึงหัวหน้าพรรคการเมือง มีคนคาดหวังจะทำสิ่งดีๆ ให้แก่การบ้านเมือง แล้วเมื่อถึงเวลาตัดสินใจไม่เป็น มาช่วยตัดสินใจให้ที ช่วยกำหนดบทบาทให้ที ซึ่งไม่ใช่คนชื่อนายอนุทิน แน่นอน
ส่วนที่มีการมองว่า ส.ว. 250 เสียง อาจเป็นตัวกำหนดผู้เป็นนายกฯ อนุทิน เห็นว่า ผมอยู่ในเกมของประชาชน ฟังเสียงประชาชน ไม่ฟังเสียงใคร และเชื่อว่าเมื่อประชาชนตัดสินใจอะไรออกมาแล้ว สิ่งนั้นคือคำตอบ ไม่มีอะไรชนะประชาชนได้ ขณะที่การเลือกตั้งครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ผมขอให้ประเทศไทยกลับมาสู่ระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด และสง่างาม เป็นประเทศที่ประชาชนกำหนดอนาคต
การพูดคุยในตอนท้าย ได้สอบถามแนวคิดการแก้ปัญหาต่างๆ เช่น เรื่องเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาเกษตรกร อนุทิน-หน.พรรค ภท. ให้ความเห็นว่า พรรคขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งด้านการเมือง ตอนนี้ขอมุ่งแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นหลัก เพราะตัวเองมีหลักคิดว่า ทุกปัญหาสามารถคลี่คลายลงได้หากประชาชนอยู่ดีกินดี สิ่งที่มองว่าเป็นปัญหาแรกๆ คือ เรื่องกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ซึ่งเรามีทรัพยากรคนไทยหลายล้านคนที่ติดหนี้ และต้องวิตกกับการจ่ายหนี้ แทนที่เขาจะได้ปลดปล่อยศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ตรงนี้เราต้องแก้ไข
ผมต้องการไม่ให้มีมนุษย์เอ็นพีแอล ไม่มีนักเรียน เอ็นพีแอล ผมต้องการให้นักเรียนที่จบการศึกษาเดินออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เขาจะต้องใช้ไปอีกหลายสิบปีนี้ ด้วยความสดใส ด้วยความสดชื่น และก็มองไปในอนาคตโดยที่ไม่มีอะไรมาถ่วงมากระตุก
เราจะพักหนี้ กยศ.ให้เขา มิใช่ยกหนี้ เพื่อให้เขาไม่ต้องมีความกดดันในการประกอบสัมมาชีพ นอกจากนั้น เราจะทำอย่างไรให้คนไทยสามารถเรียนได้บนข้อจำกัดที่น้อยที่สุด จุดนี้ผมจริงจังกับการนำเทคโนโลยีออนไลน์มา อีกทั้งยังต้องการแก้กฎหมาย ผลักดัน แนวคิด Sharing Economy หรือแบ่งปันและกระจายรายได้ โดยนำทรัพย์สินของตัวเองมาหาเงิน เช่น ขับรถแกร็บ แอร์-บีเอ็นบี เพื่อให้ประชาชนหารายได้อย่างเต็มที่อย่างทั่วโลกทำกัน
ขณะที่เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร คือ คนที่ถูกเอาเปรียบ ทำงานหนัก แต่จน มันถึงเวลาที่เราต้องแบ่งปันผลกำไรอย่างเป็นธรรม อย่างเช่นโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อย เกษตรกรได้ผลกำไรถึง 70% แล้วทำไมพืชอื่นๆ จะทำไม่ได้ แต่มันต้องอาศัยความกล้า และจริงใจ อีกทั้งเรายังส่งเสริมให้ใช้พลังงานจากพืชอย่างแพร่หลาย เช่น ปาล์ม เพราะแม้จะแพงกว่า แต่รักษาสิ่งแวดล้อม และช่วยให้เกษตรกรอยู่ดีกินดี เนื่องจากการนำพืชไปทำพลังงาน จะแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาด เราต้องหาทางแก้ไข รวมทั้งการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราเปลี่ยนเสียงปืน เสียงระเบิด ให้กลายเป็นเสียงเครื่องจักร เป็นเสียงคนงานทำงาน เพิ่มรายได้ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยพรรคภูมิใจไทยยินดีให้คนเก่ง คนมีความสามารถ เป็นมืออาชีพ ร่วมงานเสมอ.
......................
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |