ความขัดแย้งทางการค้าหรือที่บางคนเรียกว่าสงครามการค้าระหว่างประเทศมีอยู่จริง โดยเฉพาะในกรณีสหรัฐกับจีน อย่างไรก็ตามการนำเสนอให้เป็นเรื่องใหญ่โต เบี่ยงเบนลดทอนความสำคัญของประเด็นอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้การขาดดุลการค้า
เหตุผลทำไมเป็นการเบี่ยงเบนประเด็น :
ประการแรก ไม่แก้ขาดดุลได้จริง
จุดเริ่มต้นสงครามการค้าที่พูดกันคือเมื่อรัฐบาลทรัมป์ขึ้นภาษีร้อยละ 10-25 ต่อกลุ่มสินค้าจีน 34,000 ล้านดอลลาร์ ฝ่ายจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีในมูลค่าสินค้าเท่ากัน จากนั้นมีการขึ้นภาษีสินค้าเพิ่มเติม รวมความแล้ว ณ ขณะนี้สหรัฐขึ้นภาษีสินค้าจีนทั้งหมดมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์
จากการวิเคราะห์พบว่าการขึ้นภาษีสินค้าจีนอาจลดการซื้อสินค้าบางรายการ แต่ไม่น่าจะหยุดการซื้อสินค้าทั้งหมด โดยเฉพาะสินค้าที่ภาษีเพิ่มเพียงร้อยละ 10 ราคาที่สูงขึ้นผู้ขายน่าจะผลักภาระให้กับผู้บริโภค การที่ผู้บริโภคอเมริกันต้องเป็นผู้แบกรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น เป็นประเด็นที่ใครๆ ก็คิดได้แต่รัฐบาลทรัมป์ไม่เอ่ยถึง ผู้ที่ได้แน่ๆ คือรัฐบาลได้ภาษีเพิ่มและบอกว่าได้ทำหน้าที่ลดการขาดดุลแล้ว
ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่าการขึ้นภาษีสินค้าจีนช่วยลดขาดดุล อันจะช่วยลดภาษีประชาชน นโยบายนี้กำลังไปด้วยดี แต่นักเศรษฐศาสตร์บางคนไม่เห็นด้วย ชี้ว่าเป็นความเข้าใจผิดหรือตั้งใจโกหก
เดวิด เวสเซล (David Wessel) จาก Brookings Institution เห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้การขาดดุลด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้า เหตุที่อเมริกาขาดดุลหนักมาจากนโยบายกระตุ้นให้ประชาชนบริโภค โดยเฉพาะให้ซื้อรถซื้อบ้าน หวังกระตุ้นหรือรักษาการหมุนเวียนของเศรษฐกิจ ผลตามมาคือการจับจ่ายซื้อสินค้าต่างประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ขาดดุล
สตีฟ แฮนค์ (Steve Hanke) จาก Johns Hopkins University ให้ข้อสรุปว่าที่ประเทศขาดดุลเกิดจากน้ำมือของคนอเมริกันเอง (made in America) อีกทั้งนโยบายของรัฐบาลทรัมป์จะยิ่งเพิ่มการขาดดุลเพราะเพิ่มการใช้จ่ายแต่ลดภาษี
ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนว่าสงครามการค้ามีผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและลดการเติบโตในระยะปานกลาง อีกทั้งสหรัฐยังจะขาดดุลและขาดดุลหนักขึ้นเพราะอุปสงค์ของสหรัฐเพิ่มขึ้น
ประการที่ 2 ไม่ค้าขายกับจีนจะยิ่งสร้างความเสียหายมากกว่า
สินค้าจีน 200,000 ล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลทรัมป์ขึ้นภาษีไปแล้ว ทำให้ต้นทุนสินค้าที่ขายและผลิตในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ชาวอเมริกันต้องจ่ายเงินเพิ่มไม่ว่าจะซื้อสินค้าจีนหรือสินค้าของบริษัทอเมริกัน หรือไม่ก็ต้องซื้อสินค้ายี่ห้ออื่นจากประเทศอื่นที่แต่เดิมไม่คิดจะซื้อ
ทุกอย่างเป็นวงจร ต้นทุนกิจการต่างๆ สูงขึ้น สินค้าอเมริกาที่แพงอยู่แล้วจะยิ่งแพงกว่าเดิม ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาจะยิ่งลดลง กำไรหด ลดการจ้างงาน ฯลฯ
ดักกลาส พาว (Douglas Paal) จาก Carnegie Endowment for International Peace กล่าวสรุปว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์อ้างว่าลดการขาดดุลจีนจะทำให้ประเทศร่ำรวยขึ้นเป็นสมมติฐานที่ผิด เป็นการวางเป้าแก้ปัญหาอย่างผิดทิศผิดทาง สมัยเรแกนเคยใช้ลัทธิปกป้องการค้า ผลคือความสามารถการแข่งขันสหรัฐถดถอย
มาร์ติน ดาอุม (Martin Daum) ผู้บริหารระดับสูงของเดมเลอร์-เบนซ์กล่าวว่าคำตอบมีอยู่แล้ว มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ที่สุดแล้วประเทศที่ปิดพรมแดนจะเสียหาย และผลเสียนั้นจะตกแก่ผู้บริโภคที่จะต้องซื้อสินค้าในราคาแพงกว่าเดิม
จอมสร้างภาพลวงตา :
คำว่า “ภาพลวงตา” ในที่นี้หมายถึง การสร้างชุดเหตุการณ์เพื่อทำให้ผู้คนเข้าใจอย่างที่ผู้สร้างภาพต้องการสื่อ ยกตัวอย่าง ต้องการสร้างภาพเป็นคนดีมีเมตตาจึงพยายามออกงานช่วยเหลือคนยากไร้ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เป็นคนมีใจเมตตาจริง
การสร้างภาพไม่ใช่ของแปลกใหม่ทางการเมือง บรรดานักการเมืองจำนวนมากใช้ชีวิตการเมืองไปกับการสร้างภาพ หวังได้คะแนนนิยมจากประชาชน
การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาตรการกีดกันสินค้าจีนและพูดซ้ำบ่อยๆ คือการจุดประเด็นและสร้างภาพลวงตา สำเร็จด้วยดีเพราะสื่อทั้งแบบดั้งเดิมกับสื่อโซเชียลช่วยกันโหมกระแส
สื่อทั้งในประเทศสหรัฐกับสื่อระดับโลกต่างประโคมข่าวความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนต่อเนื่อง เกิดบทวิเคราะห์วิจารณ์มากมาย กลายเป็นประเด็นสำคัญระดับระดับโลก
ผลอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นคือกลบข่าวฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลทรัมป์และกลบข่าวสังคมเศรษฐกิจอื่นๆ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยแสดงท่าทีและอธิบายเหตุผลตั้งแต่ที่ทรัมป์ยังหาเสียงเลือกตั้ง แต่ทั้งหมดกลายเป็นข่าวสั้น ข่าวที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ดังสุภาษิตไทยที่ว่า “น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ”
ความเห็นต่างจึงถูกกลบไปโดยปริยาย พร้อมกับบดบังพื้นที่ข่าวอื่นๆ เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่ถ่างขยายกว้างขึ้น คนยากจนเพิ่มมากขึ้น ปัญหาสังคมทวีมากขึ้น คนหย่าร้าง ปัญหาสืบเนื่องจากการหย่าร้าง ชุมชนเสื่อมโทรมขยายตัว คนอเมริกันติดยาเสพติดหนักกว่าเดิม การละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศนับวันจะรุนแรง
ไม่ใช่ว่ารัฐบาลทรัมป์ไม่จัดการปัญหาเหล่านี้ รัฐบาลทำอยู่แต่ไม่ประสบผลเท่าที่ควร ปัญหากำลังทวีความรุนแรงและจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผลจากการโหมกระแสบางเรื่อง (ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่) ทำให้สังคมถูกเบี่ยงเบนให้สนใจเฉพาะเรื่องที่อยู่ในกระแส เช่น สงครามการค้ากับจีน ความขัดแย้งกับเกาหลีเหนือ ความวุ่นวายในตะวันออกกลาง รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งอเมริกา
ทรัมป์คือพระเอกหรือดารานำ :
ถ้าโพลให้ความสำคัญกับทุกประเด็นรัฐบาลทรัมป์คงสอบตก อันที่จริงคะแนนนิยมปัจจุบันก็สอบตกอยู่แล้ว แต่อาจจะหนักกว่าเดิมจนสังคมอเมริกันทนไม่ได้ แต่ด้วยการเบี่ยงเบนประเด็น ทรัมป์กำลังเป็นพระเอก เป็นผู้นำคนอเมริกันทั้งชาติเผชิญหน้ากับศัตรูร้ายของประเทศ อย่างจีนกับเกาหลีเหนือ
ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่หยุดที่จะทวิชข้อความที่สร้างความฮือฮาแก่คนทั้งโลก สื่อแทบทุกสำนักนำเสนอข้อความที่ทรัมป์ทวิชพร้อมกับบทวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าจะถูกตีความว่าเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย ทรัมป์คือดารานำเสมอ (นี่คือการสร้างกระแสและนำกระแส)
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังพยายามสร้างภาพให้ตนดูดี เช่น เดินทางไปพบผู้นำเกาหลีเหนือ ลงเอยด้วยภาพอันชื่นมื่น แต่หากพิจารณาให้ดีแล้วปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือไม่คืบหน้าจริง ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังจะปรับสัมพันธ์เป็นปกติกับประเทศนี้
ไม่ว่าการค้ากับจีนเป็นอย่างไร ปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือจะคืบหน้าหรือไม่ ท่านประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงยืนยันคำพูดของตนที่สมัชชาสหประชาชาติว่า “ในเวลาไม่ถึง 2 ปี รัฐบาลของข้าพเจ้าประสบความสำเร็จมากกว่าแทบทุกรัฐบาลในประวัติศาสตร์ประเทศของข้าพเจ้า” เป็นคำพูดที่พูดในแทบทุกเวทีเพื่อให้เข้าใจว่าท่านคือพระเอกของอเมริกา
เป็นบทสรุปที่ประธานาธิบดีต้องการ
ผลเสียจากภาพลวงตา :
ประการแรก มองข้ามปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่
องค์การ Oxford Economics ชี้ว่าคนอเมริกันร้อยละ 60 เป็นหนี้มากขึ้น พร้อมกับอธิบายว่าคนกลุ่มนี้คือพวกรากหญ้ากับพวกกินเงินเดือนประจำ ปัจจุบันเป็นกำลังซื้อสำคัญ ต้องรับผลกระทบซ้ำซ้อนจากนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ โดยเฉพาะสงครามการค้า นโยบายลดภาษี สินค้าอุปโภคบริโภคที่นำเข้าราคาสูงขึ้น เกิดเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขึ้น ผลลัพธ์คือหลายคนรายได้เพิ่มแต่รายจ่ายเพิ่มมากกว่า หลายคนแก้ด้วยการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น กรณีเลวร้ายคือคนที่เงินออมหมด ต้องใช้เงินกู้
ประการที่ 2 มองข้ามภัยที่กำลังจะมาเยือน
โรแบร์โต อาเซเบโด (Roberto Azevedo) เลขาธิการองค์การการค้าโลกเตือนว่าสงครามการค้าเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจโลก ยิ่งยืดเยื้อยิ่งก่อความเสียหาย อาจทำให้คนนับล้านตกงาน ส่งผลเสียต่อบริษัท ชุมชน
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นอื่นๆ อีกมาก เช่น การปฏิวัติอุสาหกรรมครั้งที่ 4 คนอเมริกันจำนวนมากอาจตกงาน ปัญหาจากภาวะโลกร้อน
ครั้งหนึ่งประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวถึงการขึ้นภาษีสินค้าจีนว่า “ผมไม่ได้ทำเพื่อการเมือง ผมทำสิ่งที่ถูกต้องแก่ประเทศของเรา” บทความนี้พยายามพิสูจน์ว่าแท้จริงแล้วการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนอาจมีผลช่วยลดการขาดดุลได้บ้างแต่ไม่แก้ปัญหาขาดดุลได้จริง เพราะการขาดดุลเกิดจากหลายสาเหตุ หากจะแก้ต้องแก้สาเหตุอื่นๆ ด้วย แต่รัฐบาลทรัมป์พยายามชักนำให้คนอเมริกันเข้าใจว่ารัฐบาลกำลังแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างได้ผล ซึ่งมิได้เป็นเช่นนั้นจริง ทั้งยังละทิ้งประเด็นอื่นๆ ที่สำคัญไม่ด้อยกว่าการขาดดุลการค้า
นี่คือการสร้างภาพลวงตา
แน่นอนว่าการจัดระเบียบโลก การปิดล้อมจีนยังมีอยู่และดำเนินต่อไป แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่ค่อยเป็นค่อยไป ในอีกส่วนที่ต้องจัดการคือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการสร้างภาพลวงตาขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคนอเมริกันให้รับรู้และเข้าใจตามแบบที่รัฐบาลต้องการ.
-------------------------
ภาพ : ภาษีสินค้านำเข้าสร้างชาติอเมริกา
ที่มา : https://www.facebook.com/DonaldTrump/photos/a.488852220724/10161399048060725/?type=3&theater
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |