“ศักดิ์ชัย กาย” โล่ง ฎีกายกฟ้องคดีทายาทปลอมเอกสารถอนเงินกว่า 158 ล้านบาท เจ้าตัวลั่นถูกโลกโซเชียลรุมด่ากว่า 15 ปี เผยอาจจ่อถอนคดีฟ้องกลับทั้งหมด
เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำที่ อ.1201/2557 ที่ พล.ต.ต.เพ็ชร์ ณ ป้อมเพ็ชร์ โดย น.ส.นพมาศ ณ ป้อมเพ็ชร์ ฐานะผู้อนุบาล เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายศักดิ์ชัย กาย อดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสาร และนักจัดดอกไม้ชื่อดัง เป็นจำเลย ในความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 266 และ 268 กรณีเมื่อวันที่ 3 ส.ค.2543 ที่จำเลยได้ปลอมใบถอนเงินธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีลายมือชื่อของโจทก์แล้วนำไปถอนเงินจำนวน 158,330,000 บาท ในรูปของแคชเชียร์เช็คก่อนนำไปเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย เหตุเกิดที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 มี.ค.2559 พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากเห็นว่าพยานโจทก์ที่นำสืบมายังไม่อาจฟังได้ว่าเช็คและใบถอนเงินเป็นเอกสารปลอม ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดจะนำไปใช้แสดงต่อธนาคารก็ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยปลอมและใช้เอกสารปลอม และที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยปลอมเอกสาร โดยกรอกข้อความลงใบถอนเงินที่มีชื่อโจทก์ แต่ก็ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ และไม่ได้ระบุว่าจำเลยนำไปใช้เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือผู้ใดนั้น คำฟ้องโจทก์จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ตามมาตรา 264 วรรคสองด้วย
ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์คดี ศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ 13 มี.ค.2560 ว่าที่โจทก์อุทธรณ์ว่า พล.ต.ต.เพ็ชร์ไม่มีสติสัมปชัญญะพอลงลายมือชื่อได้เนื่องจากป่วยเลือดออกในสมองนั้น จากการตรวจสอบประวัติทางการแพทย์พบว่า ช่วงเวลาเซ็นเอกสารและเช็คสั่งจ่ายเงินกว่า 158 ล้านบาทให้จำเลยนั้น เกิดขึ้นก่อน พล.ต.ต.เพ็ชร์จะมีอาการเลือดออกในสมองจนต้องเข้าโรงพยาบาล พล.ต.ต.เพ็ชร์มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน อีกทั้งอาการป่วยก็ไม่มีอาการจะถึงขั้นไร้สติสัมปชัญญะ จนถึงขนาดไม่สามารถลงลายมือชื่อได้ นอกจากนี้ยังมีพยานเป็นพนักงานธนาคารที่สั่งจ่ายเช็คดังกล่าวยืนยันว่า มีการตรวจดูลายมือภายในเช็คกับลายมือต้นฉบับก็ตรงกัน อีกทั้งยังมีการส่งรายงานความเคลื่อนไหวในบัญชีเงินฝากให้โจทก์ดูรายละเอียดทุกเดือน ซึ่งโจทก์เป็นผู้ที่มีความรู้และศึกษาจากต่างประเทศ มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน จึงสามารถดูความเคลื่อนไหวและสังเกตเห็นความผิดปกติของเงินที่ออกจากบัญชี ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไม่มีการร้องเรียนถึงความผิดปกติในบัญชีดังกล่าว อีกทั้งจำเลยยังมีการถ่ายรูปขณะเซ็นเอกสารเป็นหลักฐาน ส่วนประเด็นที่โจทก์ยื่นว่ามีการปลอมลายเซ็นนั้น ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าลายเซ็นในเอกสารต่างๆ เป็นของปลอม ประเด็นนี้จึงไม่มีน้ำหนัก ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องจำเลย
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า แม้ขณะโจทก์สั่งจ่ายเช็คมีอายุมากแล้ว และต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาประกอบกับพยานโจทก์ที่เบิกความแล้ว ปรากฏว่าโจทก์เข้ารักษาอาการป่วยตามปกติซึ่งไม่รุนแรง ไม่ถึงกับขาดสติสัมปชัญญะ จนถึงขั้นไม่สามารถทำนิติกรรมได้ อีกทั้งตามที่พยานเจ้าหน้าที่ธนาคารเบิกความนั้น โจทก์ไม่เคยโต้แย้งการเคลื่อนไหวทางบัญชี ทั้งที่มีความรู้ความสามารถต้องเข้าใจการทำนิติกรรมเป็นอย่างดี ขณะที่การปลอมลายมือชื่อก็มีเพียงพยานโจทก์เบิกความลอยๆ จึงเชื่อได้ว่าเป็นลายมือชื่อของโจทก์จริง พยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่นั้น โจทก์บรรยายฟ้องในฐานปลอมเอกสารทำให้โจทก์เสียหาย ไม่ได้บรรยายว่ากระทำความผิดฐานฉ้อโกงอย่างไร ศาลมิอาจพิพากษาได้ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนยกฟ้อง
นายศักดิ์ชัยให้สัมภาษณ์ภายหลังฎีกายกฟ้องว่า ที่ผ่านมาไม่เคยให้สัมภาษณ์ เพราะเห็นว่าเป็นคดีครอบครัว ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม จึงขอเงียบมาตลอด ในส่วนคดีแพ่งที่ถูกฟ้องด้วยนั้น ศาลมีคำสั่งให้พักเพื่อรอคำพิพากษาในส่วนของคดีอาญาคดีนี้ ส่วนคดีที่ฟ้องกลับในส่วนคดีแพ่งนั้น อาจเกิดความสับสน เพราะคดีมันมากมายเหลือเกิน คิดว่าจะถอนฟ้องคดีทั้งหมดเช่นกัน ที่ผ่านมาถูกโลกโซเชียลโหดร้ายกับตนมาตลอดระยะเวลา 15 ปี แต่ด้วยความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม จึงขอต่อสู้คดีเงียบๆ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
มีรายงานว่า นายศักดิ์ชัยยังมีคดีที่ถูกนายธีรวัต ณ ป้อมเพ็ชร์ ทายาทของนายวิวรรธน์ ณ ป้อมเพ็ชร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทย ฟ้องฐานปลอมเอกสารเช่นกัน เป็นคดีหมายเลขดำ อ.3830/2559 กรณีฟ้องว่าปลอมพินัยกรรมนายวิวรรธน์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเมื่อวันที่ 15 ส.ค.2561 แต่ในส่วนคดีแพ่งที่ถูกนายธีรวัตยื่นฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำ 2942/2550 ศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2559 ยืนตามชั้นอุทธรณ์ว่าพินัยกรรมมีพิรุธ ให้เป็นโมฆะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |