สหภาพแรงงานพนักงานไทยพาณิชย์เลิกชุมนุมทุกวันตอนเที่ยง หลังนัดเจรจากับซีอีโอชี้แจงปรับโครงสร้าง ยันไม่มีแผนเลย์ออฟ ไม่บีบออกก่อนเกษียณ   พร้อมรับฟังปัญหาการปรับขึ้นเงินเดือน
    ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ เวลา 12.40 น. วันที่ 29 มกราคม นายไวทิต ศิริสุวรรณ ประธานสหภาพแรงงานธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับนายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ว่า ผู้บริหารยืนยันว่าจะไม่มีการบีบพนักงานตามแผนการปรับโครงสร้าง ลดสาขา และลดพนักงาน โดยจะมีแผนปรับปรุงศักยภาพของพนักงานเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญคือไม่มีแผนการเลย์ออฟ และไม่มีโครงการลาออกก่อนเกษียณ
    ทั้งนี้ เหตุการณ์การเรียกร้องครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา นายอาทิตย์ ประกาศวิสัย ทัศน์ในงาน 2020 เอสซีบี วิชั่น ว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า ธนาคารไทยพาณิชย์จะลดสาขาเหลือ 400 สาขา จากปัจจุบันมี 1,153 สาขา ทำให้ต้องลดพนักงานลงประมาณ 12,000 คน เหลือ 15,000 คน จากปัจจุบันมี 27,000 คน จนทำให้กลุ่มตัวแทนสหภาพฯ ได้นัดพนักงานแสดงความไม่เห็นด้วยในการบริหารทรัพยากรบุคคล ที่ลานน้ำพุ หน้าธนาคาร เมื่อวันศุกร์ที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา เวลา 12.00 น. เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ก่อนหน้านี้ ตัวแทนสหภาพฯ ได้เรียกร้องให้ผู้บริหารทบทวนการให้เกรดผลงานพนักงาน และปรับขึ้นเงินเดือนที่พนักงานบางส่วนไม่พอใจ
     "การเจรจาวันนี้ ซีอีโอยังรับปากแก้ปัญหาของพนักงาน จากกรณีการปรับเงินเดือนที่พนักงานบางส่วนไม่พอใจการประเมิน ซึ่งมีประมาณ 15-20% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดประมาณ 27,000 คน ซึ่งสหภาพฯ จะรวบรวมข้อเรียกร้องของพนักงาน เพื่อส่งต่อผู้บริหาร เพื่อดำเนินการปรับเกรด และการขึ้นเงินเดือน คาดว่าจะสรุปได้ในไตรมาสแรกนี้ ซึ่งทุกปีก็จะมีปัญหานี้ และมีการเจรจากับผู้บริหาร และได้ข้อสรุปที่ดี" นายไวทิต กล่าว
    สำหรับต้นปี 2561 พนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ได้ปรับเงินเดือนเฉลี่ย 5.5% และโบนัส 2.5 เดือน
สำหรับผลประกอบการของธนาคารไทยพาณิชย์ปี 2560 ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมานั้น มีรายได้รวม 136,212 ล้านบาท มากกว่าปี 2559 ที่มีรายได้ 133,334 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.2% กำไรสุทธิ 43,152 ล้านบาท น้อยกว่าปีที่แล้วที่มีกำไร 47,612 ล้านบาท คิดเป็นน้อยกว่า 9.4%
    ในส่วนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ปี 2560 อยู่ที่ 27,488 ล้านบาท มากกว่าปี 2559 ที่มีค่าใช้จ่าย 24,597 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.8% เพราะปรับเพิ่มเงินเดือน และมีพนักงานรองรับงานที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถใหม่ๆ เพิ่มขึ้น.