สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ประชาชนหลั่งไหลร่วมรำลึกถึงในหลวง ร.9 "คิดถึงพระองค์ท่านมาก" ด้าน ดร.สุเมธเผยฝันถึงพระองค์ ทรงชื่นบานมาก แจ่มใส ทรงใส่เสื้อสีขาว รับสั่ง "วันนี้ช่วยจัดทริปให้ฉันไปเที่ยวที่คิลิมันจาโรหน่อยได้ไหม ฉันอยากจะไปเห็นเหลือเกิน"
เมื่อเวลา 15.11 น. วันที่ 13 ตุลาคม 2561 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ โดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระบรมมหาราชวัง ในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พุทธศักราช 2561
รถยนต์พระที่นั่งเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี ประตูพิมานไชยศรี และเทียบที่พระทวารเทเวศรรักษา พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย การนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงยืนหน้าพระเก้าอี้ที่ประทับ
ครั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ เข้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งประดิษฐานในพระที่นั่งบุษบกมาลา ทรงกราบ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะ และทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย กราบถวายบังคมพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งประดิษฐานที่พระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงรับการถวายความเคารพจากผู้มาเฝ้าฯ ประทับพระราชอาสน์ พระสงฆ์ 89 รูป สวดพระพุทธมนต์จบ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดเทียนดูหนังสือเทศน์พระราชทานแก่เจ้าพนักงานพระราชพิธีเชิญไปปักที่จงกลธรรมาสน์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม เสด็จฯ ไปทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยที่หน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตรสำหรับพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงธรรม ประทับพระราชอาสน์ ทรงศีล พระมหาโพธิวงศาจารย์ วัดราชโอรสาราม ถวายศีลและถวายพระธรรมเทศนา จบแล้ว
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ ประทับพระราชอาสน์ เสด็จฯ ไปทรงทอดผ้าไตร 18 ไตร พระสงฆ์ที่สวดพระพุทธมนต์และถวายพระธรรมเทศนา สดับปกรณ์พระบรมอัฐิ ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา เจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์อีกเที่ยวละ 18 รูป จำนวนเที่ยว เสด็จฯ ไปทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ ทรงปฏิบัติเช่นนี้จนครบ 4 เที่ยว
ปชช.พร้อมใจสวมเสื้อสีเหลือง
จากนั้น เสด็จฯ ไปทรงกราบพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่หน้าพระที่นั่งบุษบกมาลา เสด็จฯ ไปทรงกราบถวายบังคมพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่หน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงรับถวายความเคารพของผู้มาเฝ้าฯ เสด็จออกจากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ประทับรถยนต์พระที่นั่งที่พระทวารเทเวศรรักษา เสด็จพระราชดำเนินกลับ
วันเดียวกัน ที่ถนนหน้าพระลาน หน้าพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้สำนักพระราชวังจัดทำซุ้มประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร บริเวณริมกำแพงพระบรมมหาราชวัง ระหว่างประตูวิเศษไชยศรีและประตูมณีนพรัตน์ สำหรับให้ประชาชนได้ถวายสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ตลอดทั้งวัน เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีพสกนิกรสวมใส่เสื้อสีเหลืองเดินทางมาเป็นจำนวนมาก นำพวงมาลัยดอกดาวเรืองและดอกไม้สดมาถวายสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ประชาชนส่วนหนึ่งก้มลงกราบบนพื้นเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ โดยมีจิตอาสาคอยจัดระเบียบการเข้าแถวการถวายดอกไม้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ขณะเดียวกัน ภายในบริเวณวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ที่ประตูสวัสดิโสภา มีประชาชนบางส่วนแต่งกายด้วยชุดไทยและชุดสีเหลือง นำดอกไม้มากราบสักการะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร จากนั้นสวดมนต์และเจริญจิตภาวนา น้อมเกล้าฯ ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตเป็นปีที่ 2
นางสาวชูศรี พาราทิพย์เจริญชัย ชาวกรุงเทพมหานคร อายุ 54 ปี เดินทางมาจากเขตราษฎร์บูรณะ พร้อมน้องชายพิการทางการได้ยิน นำพวงมาลัยดอกดาวเรืองและดอกไม้สดมาถวายสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง ร.9 กล่าวว่า ช่วงเช้าวันที่ 13 ตุลาคม ได้ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตเป็นปีที่ 2 ที่วัดใกล้บ้าน และตั้งใจมาถวายพวงมาลัย แม้ฝนจะตกหนักอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เปลี่ยนใจ ด้วยรักและเทิดทูนในหลวง ร.9
"แม้จะผ่านมา 2 ปีที่ประชาชนทั่วไทยมาร่วมรำลึกถึงพระองค์อย่างเนืองแน่น ทุกคนยังคิดถึงพระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรมมากเหลือเกิน จิตอาสาที่ทำความดีอยู่เบื้องหลังคอยแจกน้ำดื่ม อาหาร บอกทางให้กับผู้ร่วมงานที่สนามหลวงก็ยังมีให้เห็นตลอดเส้นทาง ถือเป็นการสืบสานพระราชปณิธานแห่งการให้ อยากให้คนไทยระลึกทั้งเรื่องการให้ ความพอเพียง และนำมาปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน ดังแนวทางที่พระองค์ท่านทรงปฏิบัติ" นางสาวชูศรีกล่าว
คิดถึงพระองค์ท่านมาก
ด้านนางสาวเจิดจรรย์ ธรรมเจริญ ข้าราชการวัย 53 ปี เดินทางมาจาก จ.สงขลา พร้อมด้วยลูกสาว ด.ญ.ปุญญิศา อายุ 12 ปี กล่าวทั้งน้ำตาคลอว่า เดินทางมาโดยรถประจำทาง ถึงกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ตั้งใจมากราบพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
"คิดถึงพระองค์ท่านมาก ถึงวันนี้พระองค์จะไม่อยู่แล้ว แต่ยังคิดว่าพระองค์ท่านยังคงอยู่ในใจเราเสมอ และยังคงยึดถือแนวพระราชดำริเรื่องความพอเพียงอยู่ตลอด ทั้งยังสอนลูกหลานให้รู้จักประหยัด ขยัน และอดทน ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท" นางสาวเจิดจรรย์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
นายกฤชจ์พนธ์ อัฎฐาธนมงคล อาชีพรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งได้เดินทางมาถวายสักการะในหลวง ร.9 ที่หน้าซุ้มพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมกับเพื่อนๆ อีก 3 คน กล่าวว่า นับตั้งแต่ที่มีซุ้มพระบรมฉายาลักษณ์ ตนและเพื่อนๆ ได้เดินทางมาสักการะที่ซุ้มแห่งนี้หลายครั้งแล้ว และวันนี้เป็นวันคล้ายวันสวรรคต ตนและเพื่อนจึงได้นำพวงมาลัยดอกดาวเรืองมาถวายสักการะในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกครั้งหนึ่ง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ นานัปการอย่างมิได้ทรงเหน็ดเหนื่อย เพื่อความอยู่ดีกินดีของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ
“นับตั้งแต่วันที่พระองค์ท่านเสด็จสวรรคต วันที่ 13 ตุลาคม 2559 จนถึงวันนี้ ผ่านมาแล้ว 2 ปี ไม่เคยมีวันไหนที่เราจะลืมพระองค์ท่านเลยแม้แต่วันเดียว โดยเฉพาะเวลาที่เราดูข่าวในพระราชสำนักหรือพระราชกรณียกิจของพระองค์ที่เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมเยียนพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดาร ถึงแม้ว่าเราเกิดไม่ทันช่วงนั้นก็ตาม แต่ผมรู้สึกว่าคงไม่มีพระราชาพระองค์ไหนในโลกใบนี้ที่ทรงธรรมเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนได้มากเท่ากับในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกแล้ว และทุกวันนี้ผมได้น้อมนำหลักการทรงงานของพระองค์เรื่องการคิดก่อนทำ ต้องไม่ทำตนให้ผู้อื่นเดือดร้อนมาเป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิต” นายกฤชจ์พนธ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณด้านข้างของมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ฝั่งตรงข้ามหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังมีการจัดตั้งโรงครัวพระราชทานให้บริการอาหารและเครื่องดื่มแก่ประชาชนที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศ เพื่อเตรียมร่วมพิธีจุดเทียนรำลึกถึงรัชกาลที่ 9 ในช่วงค่ำวันนี้ โดยมีเมนูที่หลากหลาย ทั้งข้าวไก่ทอด ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา ผัดซีอิ๊ว ข้าวต้มมัด น้ำผลไม้ กาแฟสด ฯลฯ
เวลา 06.30 น. วันเดียวกันนี้ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก(อัมพร อัมพโร) เสด็จมาทรงเป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลครบรอบ 2 ปี วันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
ทั้งนี้ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลวันคล้ายวันสวรรคต เพื่อให้พสกนิกรได้ถวายสักการะพระบรมราชสรีรางคาร ซึ่งพระบรมราชสรีรางคารบรรจุในฐานพุทธบัลลังก์หินอ่อน พระพุทธอังคีรส พระประธานในพระอุโบสถ โดยในเวลา 17.00 น. คณะสงฆ์วัดราชบพิธฯ และพสกนิกรร่วมสวดพระพุทธมนต์อุทิศถวายเป็นพระราชกุศล ณ พระอุโบสถ
มีแรงก็อยากมา
บรรยากาศในช่วงบ่าย ที่มีฝนตกลงอย่างหนัก แต่ประชาชนก็ยังพร้อมใจสวมใส่เสื้อเหลือง เดินทางมาทั้งจากในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อมากราบสักการะพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร อย่างต่อเนื่อง
พญ.จันทร์ทิพย์ มีศีล ที่ได้เดินทางมาจากจังหวัดเชียงใหม่ บอกว่า เป็นอีกหนึ่งวันที่ตั้งใจเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อมากราบพระบรมราชสรีรางคารในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งตนได้เดินทางมาพร้อมกับครอบครัวตั้งแต่เมื่อวาน โดยในช่วงเช้าได้เดินทางไปที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และคาดว่าจะเดินทางไปยังโรงพยาบาลศิริราชต่อเพื่อชมนิทรรศการของพระองค์
ขณะที่ สมบุญ สุภปารส ชาวจังหวัดชลบุรี ได้เล่าถึงความตั้งใจที่จะมาในวันนี้ว่า แม้จะต้องเดินทางกลับในทันที เพราะต้องไปรับหลานที่โรงเรียน ก็รู้สึกตื้นตันและมีความสุข ที่อย่างน้อยๆ ก็ได้มาหาในหลวงรัชกาลที่ 9 เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ เดือนหน้า หรือปีหน้า จะมีโอกาสได้มาไหม เพราะตนเป็นโรคเกี่ยวกับขา ตอนที่ยังมีแรงก็อยากจะมาให้ได้สักครั้ง
ส่วน น.ส.สุกัญญา ศรีแสงเวช และ น.ส.จิวัสสา สมบุญ ชาวกรุงเทพฯ ได้ตั้งใจวางแผนเพื่อมากราบพระบรมราชสรีรางคาร และเข้าร่วมกิจกรรมสถานที่ต่างๆ ที่หน่วยงานได้จัดไว้ เพื่อรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 เพราะพระองค์ยังคงอยู่ในความทรงจำและในใจของพวกเราตลอด โดยช่วงเช้าได้ไปที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ในตอนบ่ายก็มาที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และในตอนเย็นก็จะเดินทางไปยังโรงพยาบาลศิริราช
เวลา 09.00 น. ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. นำ ครม. ข้าราชการ วางพวงมาลา และถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ปวงชนชาวไทย
สำหรับบรรยากาศโดยรอบสนามหลวง ประชาชนต่างพร้อมใจใส่เสื้อสีเหลือง ขณะที่การดูแลความเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ได้ตั้งจุดคัดกรอง 4 จุด บริเวณตรงข้ามวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร แม่พระธรณีบีบมวยผม ข้างกรมการรักษาดินแดน และท่าช้าง พร้อมอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่จะผ่านเข้าไปในพื้นที่
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันเดียวกันนี้ เวลา 19.00 น. นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกิจกรรมถวายบังคมและจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ปวงชนชาวไทย พร้อมยืนสงบนิ่งไว้อาลัยเป็นเวลา 89 วินาที และเปิดเพลงพระผู้ทรงเป็นนิรันดร์ ในพิธีด้วย
เป็นลูกพ่อตลอดไป
ที่โรงพยาบาลศิริราช เช้าวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณลานพลับพลาสยามินทราศิริราชานุสรณีย์ มีประชาชนเข้าร่วมพิธีทำบุญตักบาตรเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นจำนวนมาก
มีพระสงฆ์จำนวน 99 รูป รับบิณฑบาต เริ่มตั้งแต่บริเวณลานพลับพลาสยามินทราศิริราชานุสรณีย์ ขึ้นถนนอรุณอมรินทร์ กลับมาเข้าประตู 8 และสิ้นสุดที่บริเวณลานพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
ทั้งนี้ ในเวลา 09.00 น. จะมีกิจกรรมปาฐกถาเทิดพระเกียรติในหัวข้อ "ศิระกรานพระภูบาลนวมินทร์" โดยนายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และเวลา 10.30 น. จะมีการปาฐกถาเทิดพระเกียรติ โดยนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี ที่ห้องประชุมราชปนัดดาสิรินธร อาคารศรีสวรินทิรา
โดยภายในงานมีการแจกสายรัดข้อมือสีเหลือง ระบุข้อความว่า จะเป็นลูกที่ดีของพ่อตลอดไป I รูปหัวใจ My Father ให้กับผู้ที่มาเข้าร่วมกิจกรรม ทั้งประชาชนและบุคลากรของ รพ.ศิริราช ซึ่งผู้ที่จัดทำสายรัดข้อมือดังกล่าวไม่ประสงค์ออกนาม กล่าวว่า ได้ทำสายรัดข้อมือดังกล่าวขึ้นมากว่า 20,000 ชิ้น เพื่อแจกให้กับผู้เข้าร่วมงานฟรี เพราะตนระลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 อยู่ตลอดเวลา
"ตั้งแต่พระองค์ท่านสวรรคต ผมก็สอนลูกตลอดเวลาว่าให้นึกถึงพ่อ เพราะพ่อคือที่หนึ่งแล้ว อีกทั้งผมและครอบครัวก็ต้องการที่จะทำความดีถวายพระองค์ท่าน เพราะเราก็อยู่ใต้ร่มโพธิ์ของท่าน ต้องนึกถึงท่านไปตลอด ไม่ว่าจะกี่ชาติ และทำความดีถวายเป็นพระราชกุศลแก่พระองค์ท่าน" ชายผู้นี้กล่าว
นายศุภกร เสวกสูตร อายุ 67 ปี บุคลากรเกษียณ รพ.ศิริราช กล่าวว่า ในวันนี้ทาง รพ.ศิริราชได้มีการประชาสัมพันธ์ให้บุคลากรที่เกษียณไปแล้วมาเข้าร่วมกิจกรรม จึงได้เดินทางมาร่วม โดยในวันนี้ตนได้เดินทางมาตั้งแต่ 06.00 น. เพื่อร่วมทำบุญตักบาตร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งแม้ว่าพระองค์ท่านจะจากไปครบรอบ 2 ปีแล้ว ประชาชนยังจงรักภักดี ซึ่งคิดว่าน่าจะมากกว่าเดิม และระลึกถึงเสมอ
ระลึกถึงตลอดเวลา
น.ส.นิตยา เนียมพงค์ นักวิทยาศาสตร์ รพ.ศิริราช อายุ 48 ปี กล่าวว่า ปกติทำงานที่นี่อยู่แล้ว เมื่อ รพ.จัดกิจกรรมเพื่อน้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยส่วนตัวนั้นยังคงระลึกถึงอยู่เสมอตลอดเวลา ซึ่งเมื่อครั้งที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น เมื่อครั้งเสด็จฯ มาทรงงานหรือรักษาพระอาการประชวร ในฐานะคนทำงานก็ยากที่จะได้รับเสด็จ แต่ก็ได้มีโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จ และเห็นพระพักตร์เมื่อครั้งจะเสด็จฯ ไปที่วังไกลกังวล
นางปานจิต วงศ์อ่อนดี อายุ 60 ปี ประชาชนผู้เข้าร่วมกิจกรรม กล่าวว่า วันนี้เดินทางมาเพื่อรำลึกถึงพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งแม้ว่าพระองค์จะจากไป 2 ปีแล้ว ก็ยังมีความคิดถึงพระองค์ ยังอยู่ในใจ และไม่เคยลืมคุณูปการมากมายที่พระองค์ทรงเคยสร้างไว้ให้กับประเทศชาติ โดยน้ำตาในวันนี้ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจแล้ว แต่เป็นน้ำตาแห่งความดีใจ ที่คนไทยยังรำลึกถึงพระองค์ และเมื่อมีกิจกรรมเพื่อระลึกถึงเช่นนี้ ก็จะมีประชาชนเข้าร่วมไม่ขาดสาย
ที่ห้องประชุมราชปนัดดาสิรินธร อาคารศรีสวรินทิรา รพ.ศิริราช ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ปาฐกถาเถิดพระเกียรติในหัวข้อ “ศิระกรานพระภูบาลนวมินทร์” ตอนหนึ่งว่า เวลาที่ตนมีโอกาสได้กล่าวหรือเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จำได้ว่าการเล่าครั้งที่แล้วเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่เศร้าโศกเสียใจ รู้สึกกับสิ่งที่เราเคยมีและสูญหายไป ปีนี้เป็นปีที่ 2 ตนคิดว่าเราควรที่จะควบคุมอารมณ์ และนำตัวเองไปสู่อีกส่วนหนึ่งที่น่าจะมีความสำคัญกว่าอารมณ์ด้วยซ้ำไป นั่นก็คือการนำตัวเองไปสู่ปัญญา ซึ่งคำพูดนี้ตนไม่ได้เป็นคนพูดเอง แต่เป็นสิ่งที่ตนได้รับมาจากในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงสอนเสมอว่าให้ใช้ปัญญา อย่าใช้อารมณ์ เพราะอารมณ์บางครั้งก็นำพาเราไปในสิ่งที่ไม่ได้เกิดประโยชน์เลย
เลขาฯ มูลนิธิชัยพัฒนากล่าวว่า โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเกิดจากความทุกข์ของประชาชน ที่ความสุขของพระองค์คือการเข้าไปแก้ไข ที่พระองค์ท่านใช้คำว่าอันเนื่องมา ก็เพราะพระองค์ได้รับสั่งแล้ว พวกเธอต้องไปคิดต่อว่าเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร จะใช้คำถามตามพระราชดำริ หรือตามพระราชประสงค์ไม่ได้เด็ดขาด พระองค์ทรงเป็นประชาธิปไตยที่สุด
ไปเที่ยวที่คิลิมันจาโร
“เมื่อพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตไป ผมก็ฝันเห็นพระองค์ท่าน 2-3 ครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการพะวงเนื่องจากต้องมาบรรยายหรือไม่ เมื่อคืนวานนี้ (12 ต.ค.) ผมฝันถึงพระองค์ท่าน สิ่งที่ได้เห็นคือ พระองค์ทรงชื่นบานมาก แจ่มใส ทรงใส่เสื้อสีขาว เป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็น และทรงบอกผมว่าวันนี้ช่วยจัดทริปให้ฉันไปเที่ยวที่คิลิมันจาโรหน่อยได้ไหม ฉันอยากจะไปเห็นเหลือเกิน"
นายสุเมธกล่าวว่า ถึงแม้ว่าความฝันนี้จะเป็นเรื่องในฝัน แต่ในฐานะพระเจ้าแผ่นดิน ทรงอยากที่จะไปในหลายที่ มีรับสั่งหลายหนว่า อยากไปเห็นเขื่อนสามผาของประเทศจีน อยากเสด็จฯ ไปประเทศญี่ปุ่น แต่ก็เสด็จฯ ไปไม่ได้ ไม่ใช่ไม่อยากไป แต่งานในบ้านในเมืองของเราก็ยังมีอยู่ จึงไม่สมควรที่จะไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ เพราะอย่างตอนที่พระองค์ท่านจะเสด็จฯ ไปเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งจำเป็นต้องไปที่ประเทศลาว ต้องมีการหาเหตุผลมาอย่างยาวนานมาก และเปลี่ยนเป็นงานคือเสด็จฯ ทอดพระเนตรโครงการพระราชดำริที่ประเทศลาว เนื่องจากหากพระองค์ท่านเสด็จฯ ครั้งนี้ เมื่อประเทศต่างๆ กราบบังคมทูลเชิญ จะไม่ไปก็ไม่ได้ จะเห็นว่าพระองค์ท่านชีวิตไม่ได้สุขสบายอย่างเราที่คิด จะทำอะไรก็ได้ ถึงแม้จะทำได้ แต่พระองค์ก็ไม่ทำ อยู่ด้วยความสุข ที่จะสร้างความสุขให้กับคนในประเทศตลอดเวลา ไม่เคยคำนึงเลยว่าตัวพระองค์จะทุกข์จะร้อน จะเปียกฝน หรือจะตากแดดอย่างไรไม่เคยบ่น
เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนายังเล่าเรื่องราวพระอารมณ์ขันที่เกิดขึ้นระหว่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงลงพื้นที่เยี่ยมพสกนิกรในพื้นที่ต่างๆ ตอนหนึ่งว่า ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านได้เสด็จฯ ลงพื้นที่ภาคใต้ และพบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีปัญหาดินเป็นกรด หรือดินเปรี้ยว ไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้ พระองค์จึงรับสั่งถามชาวบ้านว่า ดินแถวนี้เปรี้ยวไหม ชาวบ้านเงยหน้าขึ้นมาตอบพระองค์ว่า ไม่เคยกิน พระองค์ท่านจึงหันมาตรัสว่า เราถามไม่ดีเอง
นายสุเมธกล่าวต่อว่า ครั้งหนึ่งตนเคยเห็นพระองค์ท่านทรงผูกดวง ทรงทำได้อย่างรวดเร็วมาก ศาสตร์ต่างๆ ของประเทศเรา พระองค์ท่านทรงรู้ และมีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่พระองค์ท่านใช้ศาสตร์เหล่านี้ทำนายชนะกรมอุตุนิยมวิทยา เหตุการณ์ในครั้งนี้มีพายุไต้ฝุ่นกำลังจะพัดเข้าสู่ประเทศไทย และกรมอุตุฯ ใช้คอมพิวเตอร์ราคา 300 ล้านบาทคำนวณและประกาศให้ชาวกรุงเทพมหานครระวัง เนื่องจากพายุไต้ฝุ่นกำลังจะเข้า แต่พอถึงช่วงเวลาเที่ยงของวันนั้น พระองค์ท่านรับสั่งว่าพายุจะไม่เข้า ทุกคนพากันตกใจ เพราะกรมอุตุฯ ประกาศชัดว่าพายุจะเข้า ซึ่งปรากฏว่าพายุไม่เข้าจริงๆ
หลังจากนั้นพระองค์รับสั่งว่า "ฉันรู้สึกว่าการรายงานอากาศมันทะแม่งๆ ด้วยความสงสัยฉันเลยผูกดวง ปรากฏว่าไม่มีดวงน้ำ ไม่มีดวงลมเลยในช่วงเวลาที่ประกาศเลย" และทรงเล่าเป็นเรื่องขำขันว่า "ฉันไปเจรจากับนางมณีเมขลา บอกให้นางมณีเมขลาไปช่วยห้ามหน่อย นางมณีเมขลาจึงไปยืนรออยู่ที่เวียดนาม"
“ผมเคยตามเสด็จพระองค์ท่านไปหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าถนนเรียบร้อย ข้างทางมีต้นกล้วยเรียงสองข้างทาง สวยงามมาก และมีผลออกดีหมดทุกต้น พระองค์ท่านทรงหันมารับสั่งกับผมว่า สุเมธ เห็นกล้วยรับเสด็จไหม แล้วเธอเห็นปลีไหม รู้ไหมว่าปลีออกทิศไหน ผมถึงกับพูดไม่ถูก พระองค์ท่านทรงมีความรู้เรื่องธรรมชาติดีมาก เพราะปลีกล้วยจะออกทิศเดียวคือ ทิศตะวันตก แต่ปลีกล้วยของหมู่บ้านนี้ออก 4 ทิศเลย" เลขาฯ มูลนิธิชัยพัฒนากล่าว
ด้าน รศ.ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี กล่าวว่า ในวันที่ 13 ต.ค. นอกจากเป็นวันที่ระลึกถึงพระองค์แล้ว เพื่อไม่ให้ภาพความจำต่างๆ เลือนหายไป เพื่อให้สิ่งต่างๆ คงอยู่ตลอดไป ขอให้ระลึกถึงพระราชกรณียกิจที่พระองค์ทรงงานหนักตลอดรัชสมัย โดยการสืบสานพระราชปณิธาน ซึ่งในการสืบสานพระราชปณิธานต่างๆ ต้องมีหลักว่าต้องไม่กระทบกับพสกนิกรจำนวนมากของพระองค์ อย่างไรก็ตาม เป็นโชคดีของพสกนิกร ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงมีความมุ่งมั่นที่จะสืบสานพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกร โดยมีโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการอาสาทำความดีด้วยหัวใจ
สำหรับพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความจงรักภักดี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต ได้จัดในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ประชาชนต่างสวมเสื้อสีเหลืองร่วมงานอย่างพร้อมเพรียงทุกจังหวัด.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |