ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและทางออก


เพิ่มเพื่อน    

องค์การอ็อกแฟม (Oxfam International) เป็นองค์กรร่วมที่ประกอบด้วยองค์การอื่นๆ อีกเกือบ 20 แห่งที่ทำงานร่วมกัน กลุ่มเชื่อว่า 'โลกที่ปราศจากความยากจน เป็นจริงได้'

หนึ่งในผลงานของอ็อกแฟมคือทำ ‘ดัชนีพันธกรณีลดความเหลื่อมล้ำ’ (The Commitment to Reducing Inequality Index - CRI) ฉบับล่าสุดเผยแพร่เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นรายงานสืบเนื่องจากการที่รัฐบาลของ 193 ประเทศประกาศว่าจะลดความเหลื่อมล้ำตามเป้าหมาย 10 ประการของ “เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ” (Goal 10 of the Sustainable Development Goals) ของสหประชาชาติ

รายงานฉบับปี 2018 ครอบคลุม 157 ประเทศ มุ่งวัดผลงานของรัฐบาลในเรื่องการใช้จ่ายภาคสังคม ภาษี และสิทธิแรงงาน ทั้ง 3 ประเด็นช่วยลดความเหลื่อมล้ำมากที่สุด เป็นดัชนีชี้วัดว่ารัฐบาลประเทศใดที่จริงจังลดความเหลื่อมล้ำ สถานการณ์ดีขึ้นหรือเลวร้ายลง รายงานชี้ว่าสถานการณ์บางประเทศดีขึ้นมาก โดยเฉพาะเกาหลีใต้ นามิเบีย อุรุกวัย บางประเทศที่รัฐบาลไม่เอาใจใส่ เช่น อินเดีย ไนจีเรีย สหรัฐอเมริกา

รายงานฉบับนี้เรียกร้องให้รัฐบาลทุกประเทศปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อบรรลุ “เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ” ของสหประชาชาติ อุดหนุนให้การรักษาพยาบาลฟรี เรียนฟรี มีมาตรการดูแลทางสังคม ใช้อัตราภาษีแบบก้าวหน้า (ยิ่งรวยยิ่งต้องจ่ายในอัตราสูงขึ้น) เลิกนโยบายยกเว้นภาษี จัดการพวกเลี่ยงภาษีอย่างจริงจัง เคารพสิทธิของสหภาพแรงงาน สิทธิสตรีในที่ทำงาน เปลี่ยนจากใช้วิธีกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ (Minimum Wage) เป็นค่าจ้างที่เพียงพอแก่การดำรงชีวิต (Living Wage)

ความเหลื่อมล้ำไม่เกิดเฉพาะประเทศยากจน พบได้ในทุกแบบ ที่กังวลคือช่องว่างระหว่างคนรวยกับยากจนนับวันจะถ่างกว้างขึ้นทุกที คนรวยจำนวนหยิบมือร่ำรวยล้นฟ้า ท่ามกลางคนมากมายมหาศาลที่อยู่อย่างยากจน ปากกัดตีนถีบ

ความมั่งมีของประชากรครึ่งโลกจากฝั่งคนยากจนรวมกันมีความมั่งคั่งเพียงร้อยละ 1 ของความมั่งคั่งทั้งสิ้นโลก ในขณะที่ประชากรเพียงร้อยละ 1 ของโลกในกลุ่มคนรวยสุดครอบครองความมั่งคั่งถึงร้อยละ 50 ของโลก

ความเหลื่อมล้ำไม่ใช่ปัญหาเฉพาะบุคคล เพราะฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ คนยากไร้มักมีสุขภาพย่ำแย่ ธนาคารโลกประเมินว่าก่อนสิ้นปี 2030 ประชากรโลก 500 ล้านคนยังอยู่กับ “ความยากจนแร้นแค้น” (extreme poverty) ผู้หญิงมักเป็นเพศที่ได้รับผลกระทบมากกว่าชาย แสดงให้เห็นถึงภาวะการกดขี่ทางเพศ

ประเทศที่ควรถูกตำหนิ เช่น ไนจีเรียได้คะแนนต่ำสุดแม้ว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบันอ้างว่าให้ความสำคัญแก้ความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลฮังการีปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ละเมิดสิทธิแรงงาน บราซิลไม่เพิ่มงบประมาณช่วยเหลือทางสังคมกว่า 20 ปีแล้ว รัฐบาลทรัมป์หั่นภาษีเงินได้นิติบุคคล เหล่านี้มีแต่จะกระตุ้นสร้างความเหลื่อมล้ำ

การใช้จ่ายภาคสังคม ภาษี และสิทธิแรงงาน :

มีงานวิจัยและหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ว่าหากจะแก้ความเหลื่อมล้ำต้องแก้ 3 เสาหลัก คือ การใช้จ่ายภาคสังคม ภาษี ดูแลสิทธิแรงงาน

การใช้จ่ายภาคสังคม เช่น อุดหนุนการศึกษา การดูแลรักษาสุขภาพ มีประกันสังคม ช่วยให้คนยากจนมีการศึกษา ได้รับการรักษายามเจ็บป่วย และได้รับเงินช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ช่วยเหลือคนตกงาน เด็กกับผู้สูงวัยได้รับการดูแล

ใช้อัตราภาษีแบบก้าวหน้า ให้บริษัทเอกชนและคนรวยเสียภาษีในอัตราสูงกว่า ให้กลุ่มเหล่านี้ช่วยแบ่งเบาภาระรัฐบาล การหลบเลี่ยงภาษีทุกรูปแบบเป็นอีกเรื่องที่สังคมต้องจัดการให้สำเร็จหากต้องการแก้ไขความเหลื่อมล้ำ

ตราบใดที่รายได้ของกรรมกรยังต่ำ สิทธิกรรมกรถูกกีดกัน เมื่อนั้นความเหลื่อมล้ำยังดำรงต่อไป ผู้หญิงมักเป็นผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด ยิ่งสหภาพแรงงานอ่อนแรงยิ่งขยายความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการดูแลคุ้มครองแรงงาน

อ็อกแฟมมั่นใจว่าเพียงแค่รัฐบาลปรับเปลี่ยนนโยบายจะมีผลต่อความเหลื่อมล้ำมากไม่ว่าบริบทประเทศนั้นเป็นอย่างไร ตระหนักว่าปัจจัยต่างประเทศมีผลโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

รายงาน ‘ดัชนีพันธกรณีลดความเหลื่อมล้ำ’ (CRI) เป็นของใหม่ยังต้องพัฒนาปรับปรุง แต่เป็นดัชนีตัวหนึ่งที่หวังลดความเหลื่อมล้ำ ข้อมูลที่ปรากฏเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย

ข้อสรุปที่ได้จากดัชนี 2018 :

          ประการแรก ทุกประเทศสามารถออกนโยบายลดความเหลื่อมล้ำได้ดีกว่านี้

ทุกประเทศใน 158 ประเทศที่ปรากฏในรายงานล้วนสามารถออกนโยบายลดความเหลื่อมล้ำได้มากกว่านี้ ที่น่าตกใจคือ 112 จาก 157 ประเทศ (หรือร้อยละ 71) ออกแรงไม่ถึงครึ่งเมื่อเทียบกับประเทศที่ทำคะแนนได้สูงสุด พูดให้ชัดคือมีหลักฐานชัดเจนว่ากว่าร้อยละ 70 ของรัฐบาลทั่วโลกไม่พยายามแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างจริงจัง (ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 74)

10 ลำดับแรกที่ทำคะแนนได้สูงสุดคือ เดนมาร์ก ตามมาด้วยเยอรมนี ฟินแลนด์ ออสเตรีย นอร์เวย์ เบลเยี่ยม สวีเดน ฝรั่งเศส ไอซแลนด์ ลักเซมเบิร์ก

ประการที่ 2 ประเทศเสรีนิยมประชาธิปไตยกำลังเหลื่อมล้ำมากขึ้น

ประเทศอุตสาหกรรม ประชาชนมีรายได้ต่อหัวสูง ไม่จำต้องเป็นประเทศที่คนส่วนใหญ่เท่าเทียมกัน รายงานการศึกษาพบว่าสังคมของประเทศเหล่านี้ซึ่งมักเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตยกำลังเหลื่อมล้ำมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นักการเมือง นโยบายที่บั่นทอนความเสมอภาค เช่น ลดการใช้นโยบายอัตราภาษีแบบก้าวหน้า ลดความสำคัญของสิทธิแรงงาน

ดังที่กล่าวแล้วว่ารัฐบาลมีผลต่อความเหลื่อมล้ำ หลายประเทศที่พบว่าแต่เดิมเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ แต่เพียงได้รัฐบาลใหม่ รัฐบาลชุดใหม่ใช้นโยบายต่างจากเดิมส่งผลทำให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มสูงขึ้นทันตา เช่น บราซิล อาร์เจนตินา

ประการที่ 3 แบบอย่างที่ดีกับแบบอย่างยอดแย่

ประเทศที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นแบบอย่างที่ดีคือเกาหลีใต้ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี มุน แจ-อิน (Moon Jae-in) เดิมนั้นเกาหลีใต้มีปัญหาความเหลื่อมล้ำสูง พวกคนจนมีรายได้เท่าเดิมในขณะที่คนรวยร่ำรวยขึ้นทุกปี รัฐบาลมุนแก้ปัญหาโดยยึดหลัก CRI ทั้ง 3 เสาหลัก เช่น เพิ่มอัตราแรงงานขั้นต่ำถึงร้อยละ 16.4 เพิ่มภาษีรายได้นิติบุคคลโดยเฉพาะบรรษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย เก็บภาษีคนมีรายได้มากในอัตราสูงขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มขยายสวัสดิการสังคม เด็กทุกคนได้รับการดูแลจากภาครัฐครบวงจร ประธานาธิบดีมุนกล่าวด้วยความภาคภูมใจว่ารัฐบาลตนใช้ นโยบายเศรษฐกิจที่ยึดประชาชนประศูนย์กลาง (people-centered economy)

ในทางตรงข้าม 10 ประเทศหรือรัฐบาลที่ไม่เอาใจใส่ เรียงลำดับเริ่มจากแย่สุด คือ ไนจีเรีย อุซเบกิซถาน เฮติ ชาด เซียร์ราลีโอน ภูฎาน มาดากัสการ์ สปป.ลาว สิงคโปร์ และบังคลาเทศ

บางคนอาจสงสัยว่าทำไมสิงคโปร์ติดอยู่ใน 10 อันดับยอดแย่ เป็นเพราะการขึ้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาร้อยละ 2 ในขณะที่ผู้มีรายได้สูงสุดเสียภาษีแค่ร้อยละ 22 งบประมาณด้านสวัสดิการยังค่อนข้างต่ำ แรงงานสตรี ลูกจ้างสตรีได้รับค่าแรงต่ำกว่าผู้ชาย กฎหมายป้องกันการละเมิดทางเพศยังอ่อน ไม่มีอัตรารายได้ขั้นต่ำ (เว้นแต่พนักงานทำความสะอาดกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย)

ประการที่ 4 ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำอื่นๆ

ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจกับความเหลื่อมล้ำทางเพศจะไปด้วยกัน สังคมใดมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมาก การกดขี่ทางเพศจะมากตาม การแก้ไขค่านิยมให้ยกย่องสตรีเพศเป็นเรื่องยาก ที่ทำได้ง่ายกว่าคือแก้ปัญหาเศรษฐกิจอันจะช่วยลดการกดขี่ทางเพศไปในตัว ช่วยให้สตรีดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น มีเกียรติในสังคม และต้องตระหนักว่าสตรีเพศมักเป็นผู้ได้รับกระทบเร็วและมากที่สุดจากการขึ้นภาษี ลดสวัสดิการทางสังคม การกดค่าแรง ประเทศจะลดความเหลื่อมล้ำได้หรือไม่ต้องดูว่าผู้หญิงในประเทศนั้นได้รับการปฏิบัติอย่างไร

เด็กที่เกิดในครอบครัวอยากไร้ย่อมใช้ชีวิตอย่างขัดสน หากภาครัฐไม่ดูแลเด็กเหล่านี้จะตกอยู่ใน วัฏจักรยากจนซ้ำซาก พ่อแม่ยากจนลูกจึงยากจนต่อไป ขาดโอกาสที่จะพัฒนาก้าวหน้าทั้งๆ ที่หลายคนมีศักยภาพ

การด้อยโอกาสของคนหนุ่มสาวในหลายประเทศทุกทวีปทั่วโลกกำลังเป็นปัญหาใหญ่ คนหนุ่มสาวเหล่านี้ตกงาน ขาดรายได้ เห็นว่าชีวิตไร้คุณค่า สังคมไม่น่าอยู่ หลายคนตกอยู่ในอบายมุขซึ่งทำให้ชีวิตย่ำแย่กว่าเดิม หลายคนพิการเสียชีวิตอย่างไม่สมควร

วิเคราะห์องค์รวมและสรุป :

รัฐบาลหลายประเทศใช้นโยบายเรียนฟรี รักษาฟรี ซึ่งไม่ใช่ของแปลกใหม่ หลายประเทศใช้มานานหลายทศวรรษแล้ว สหประชาชาติประกาศสนับสนุนแนวทางนี้ แต่เท่านี้ยังไม่พอควรใช้อัตราภาษีแบบก้าวหน้า ลดนโยบายยกเว้นภาษี จัดการพวกเลี่ยงภาษีอย่างจริงจัง เคารพสิทธิของสหภาพแรงงาน สิทธิสตรีในที่ทำงาน เปลี่ยนจากวิธีกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ (Minimum Wage) เป็นค่าจ้างที่เพียงพอแก่การดำรงชีวิต (Living Wage) นี่คือข้อเรียกร้องจากอ็อกแฟมหากรัฐบาลตั้งใจมุ่งมั่นที่จะลดความเหลื่อมล้ำ

ระบอบประชาธิปไตยพร่ำบอกว่าการปกครองนี้มาจากประชาชน เป็นของประชาชน เพื่อประชาชน แต่หากสังคมยังเหลื่อมล้ำมาก เรากำลังจะบอกว่าความเหลื่อมล้ำนี้มาจากประชาชนและเพื่อประชาชนใช่หรือไม่

ความเหลื่อมล้ำเป็นอีกดัชนีชี้วัดว่ารัฐบาลซึ่งหมายถึงบรรดานักการเมือง พรรคการเมือง สถาบันการเมือง บรรดาผู้ถืออำนาจกำลังทำหน้าที่เพื่อใคร

ส่วนการแก้ปัญหาอย่างฉาบฉวยเป็นดัชนีบ่งบอกความก้าวหน้าของประชาธิปไตยประเทศนั้นๆ

Louis Brandeis อดีตผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐ (US Supreme Court Justice) กล่าวอย่างน่าคิดว่า “เราอาจมีประชาธิปไตยหรือความมั่งคั่งที่กระจุกอยู่มือไม่กี่คน แต่ไม่อาจมี 2 อย่างพร้อมกัน”

------------------------

ภาพ : ได้แต่ทำงาน แต่มิอาจร่ำรวย

ที่มา : https://d1tn3vj7xz9fdh.cloudfront.net/s3fs-public/file_attachments/bp-reward-work-not-wealth-220118-en.pdf


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"