แม้ปัจจุบันขนาดของพรรคจะลดลง หลังเสีย “หัวเรือใหญ่” อย่าง "บรรหาร ศิลปอาชา" อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ไป แต่ “ชาติไทยพัฒนา” ยังถือเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญของการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้
เนื่องจาก “ชาติไทยพัฒนา” มีฐานที่มั่นตัวเอง ซึ่งการันตีเก้าอี้ ส.ส.ได้จำนวนหนึ่ง สามารถดึงดูดพรรคใหญ่ให้เอาไปเป็น 1 ในพรรคร่วมรัฐบาลได้
แต่การขาด “บรรหาร” ในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ มันก็ส่งผลให้อำนาจต่อรอง และความน่าสนใจของพรรคหายไปไม่น้อย เพราะอดีตมังกรการเมืองผู้ล่วงลับ แทบจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องทุนรอน ตลอดจนการเจรจาต่อรอง
เหตุนี้ทำให้อดีต ส.ส.หลายคน ที่เป็นเกรดเอ กระสานซ่านเซ็นออกจากพรรคไปจำนวนมาก เมื่อไร้ “บรรหาร” แล้ว ไม่ว่าจะเป็นนายชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีต ส.ส.อุทัยธานี หรือแม้แต่นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร อดีต ส.ส.พระนครศรีอยุธยา
การไม่มี “บรรหาร” ยังทำให้อดีต ส.ส.ต้องออกแรงสู้ในสนามเลือกตั้งเหนื่อยกว่าเดิม เพราะต้องสู้กับทั้งกระสุนดินดำที่มากกว่าของคู่แข่ง และกระแสของบรรดาพรรคใหญ่
การลงสนามแบบไร้เงา “บรรหาร” จึงสุ่มเสี่ยงต่อการสอบตก เพราะขนาดตอนอดีตหลงจู๊ทางการเมืองยังอยู่ กว่าจะได้ ส.ส.ในแต่ละพื้นที่ยังเหนื่อยแทบเลือดตากระเด็น
ลำพังอดีต ส.ส.เกรดเอ ย้ายสังกัดนั่นเรื่องหนึ่ง แต่ที่กำลังเป็นเรื่องใหญ่ของ “ชาติไทยพัฒนา” ตอนนี้คือ แม้แต่ฐานที่มั่นอย่าง “สุพรรณบุรี” ก็กำลังสั่นคลอน
การแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ “สุพรรณบุรี” เป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก หลังจากถูกลดปริมาณ ส.ส. จาก 5 เหลือเพียงแค่ 4 ที่นั่ง แล้วล่าสุดเพิ่งมีข่าวร้ายขึ้นมาอีก หลังจาก “ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ” อดีตรองเลขาธิการพรรคชาติไทย ย้ายไปร่วมกับพรรคเพื่อไทย
กรณีของ “ณัฐวุฒิ” การย้ายไป ไม่ใช่เพราะวันนี้ไม่มี “บรรหาร” แต่มันมีลิ่มความไม่พอใจ หลังทราบว่า ผู้ใหญ่ในพรรคจะให้เขาลงแข่งในรูปแบบ “ปาร์ตี้ลิสต์” แทน เนื่องจากจำนวนเขตใน จ.สุพรรณบุรี มีปริมาณลดลง ขณะที่ตัวผู้สมัครมีมากกว่า
การถูกส่งในระบบ “ปาร์ตี้ลิสต์” ยุคปัจจุบัน ต่างจากอดีต ซึ่งการนับแบบถัวเฉลี่ย ทำให้ไม่มีอะไรการันตีได้ว่า ที่สุดแล้ว “ณัฐวุฒิ” จะได้ที่นั่ง ส.ส. หนำซ้ำ เขาไม่ใช่รายชื่อแรกแน่นอน เพราะมีแกนนำคนอื่นๆ ยืนจ้องเป็นรายชื่อลำดับต้นๆ อีกเพียบ
การไปร่วมกับ “เพื่อไทย” จึงสร้างความเสียหายอย่างหนัก เพราะ “ณัฐวุฒิ” ไม่ใช่อดีต ส.ส. ที่พึ่งบารมีพรรค หรือ “บรรหาร” หากแต่เป็นพวก “สายแข็ง” ในตัวเอง
ตระกูล “ประเสริฐสุวรรณ” ใน จ.สุพรรณบุรี ถือว่าเก่าแก่ในทางการเมือง “บุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ” ผู้เป็นพ่อ จัดเป็นผู้มากบารมีคนหนึ่ง เป็นคนดึง “บรรหาร” มาร่วมกันสร้างชาติไทยจนดังเปรี้ยงปร้าง
หากต้องลงแข่งในนามพรรคเพื่อไทย อาจทำให้ 4 ที่นั่งของ “ชาติไทยพัฒนา” ที่ตั้งเป้ากวาดยกจังหวัด อาจจะเหลือแค่ 3 ที่นั่ง ถือว่าเสียหายในภาวะที่พรรคต้องการปริมาณ ส.ส.เขตให้มากที่สุดเท่าที่จะได้
แม้ “ณัฐวุฒิ” จะไปอยู่กับพรรคเพื่อไทยแล้ว แต่ทุกวันนี้ “ชาติไทยพัฒนา” ก็ยังงอนง้อให้เขาเปลี่ยนใจ เพราะยังมีโอกาสย้ายกลับมาได้ถึง 23 พ.ย.62 ซึ่งเป็นเดดไลน์สุดท้ายที่ทุกคนที่จะลงสมัคร ส.ส. ต้องมีสังกัดเป็นหลักเป็นแหล่ง ตามระยะเวลา 90 วันก่อนการเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน การลาออกในตอนนี้ยังง่าย เพราะเพียงแค่เซ็นใบลาออกก็สามารถไปได้ทันที เหตุนี้จึงทำให้แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนาทุกคน ทั้งประภัตร โพธสุธน, จองชัย เที่ยงธรรม หรือวราวุธ ศิลปอาชา ว่าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ ยังพยายามต่อสายเพื่อเคลียร์ใจให้ “ณัฐวุฒิ” กลับมา
แต่ดูเหมือนจะยากมากๆ เพราะไม่ว่าใครโทรศัพท์ไป เจ้าตัวก็มักจะบ่ายเบี่ยงว่า ไม่ว่าง หรือนัดไว้ แต่พอถึงเวลาก็เบี้ยว อ้างว่าติดประชุมหรือมีธุระตลอด ขนาด “คุณหญิงแจ่มใส ศิลปอาชา” เป็นผู้ต่อสายเอง ยังถูกหมางเมิน
ซึ่งดูแนวโน้มแล้วโอกาสกลับมามีน้อย เพราะเหมือนว่า “ณัฐวุฒิ” จะไม่พอใจ เอาเสียมากๆ กับการถูกลดชั้นในตอนแรก ดังนั้น นี่จึงเป็นความเสียหายที่ใหญ่หลวง เพราะถ้าต้องวัดกันในสนามตอนนี้ ก็ไม่ใช่ว่า "ศิลปอาชา" จะสู้ได้เสมอไป
อย่าลืมว่า ไม่ใช่แค่ฐานที่มั่นอย่าง จ.สุพรรณบุรี ที่โดนลดปริมาณ แล้วยังต้องเจอภาวะ “เลือดไหลออก” แต่ จ.อ่างทอง ของ “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” อีก 1 ฐานที่มั่นการันตี ส.ส. ก็โดนลดปริมาณจาก 2 เหลือแค่ 1
ตอนนี้อย่าว่าแต่ดึงอดีต ส.ส.ใหม่ๆ เข้ามาร่วมกับพรรคเลย แค่เรื่อง “รักษาฐานที่มั่น” ให้ได้เสียก่อน นั่นคือ เรื่องแรกของ “ชาติไทยพัฒนา” ในตอนนี้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |