ประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจอะไรบ้าง?
และเราจะสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองได้อย่างไร?
วันก่อนผมอ่านคำกล่าวเปิดงานสัมมนาประจำปี 2561 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2561 โดย ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ของบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ในหัวข้อ Global Risks and Thailand’s Economic Outlook ที่แปลเป็นภาษาไทยโดยเว็บไซต์ ThaiPublica
เป็นบทวิเคราะห์ความเสี่ยงและทางแก้ของประเทศที่น่าสนใจมาก
คุณวิรไทบอกว่าความเสี่ยง 4 ด้านที่อาจสร้างความปั่นป่วนมากขึ้นในระยะสั้นถึงระยะปานกลางมีดังนี้
1.ภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้น
2.ความขัดแย้งทางการค้าที่เพิ่มขึ้น
3.ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
และ 4.ความเสี่ยงของเสถียรภาพทางการเงินในประเทศจากการใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำมากมาเป็นระยะเวลานาน
ข้อแรกคือ ภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้น ซึ่งหนีไม่พ้นว่าจะต้องกระทบไทยด้วย
หลังจากที่เกิดวิกฤติการเงินโลก เศรษฐกิจไทยก็เหมือนกับอีกหลายประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หรือ Emerging Economies อื่นๆ ได้รับผลกระทบจากการนำนโยบายการเงินที่มิได้ใช้ในช่วงเวลาปกติมาใช้ (unconventional) ของประเทศพัฒนาแล้วเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพราะกระแสเงินทุนไหลเข้าจำนวนมหาศาลที่แสวงหาผลตอบแทน ได้สร้างแรงกดดันให้ราคาสินทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมทั้งค่าเงินของประเทศ Emerging Economies และหนี้ภาคเอกชน
คุณวิรไทบอกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเลี่ยงไม่ได้ที่การกลับทิศของมาตรการสุดขั้ว เช่น การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อกลับสู่ภาวะปกติ (normalization) จะมีผลในระดับเดียวกันต่อประเทศ Emerging Economies ด้วย และนี่ถือว่าเป็นสาเหตุของความเสี่ยงข้อแรก
นอกเหนือจากธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดแล้ว ธนาคารกลางของประเทศอื่นเองก็คาดว่าจะดำเนินนโยบายการเงินเพื่อกลับสู่ภาวะปกติในปีต่อๆ ไป ขณะที่สภาพคล่องซึ่งอยู่ในระดับสูงกำลังลดลง
ผลตอบแทนที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของธุรกิจและรัฐบาลสูงขึ้น ส่วนประเทศ Emerging Economies ที่อ่อนไหวต่อภาวะภายนอกและค่าเงินอ่อนค่าก็จะประสบกับภาระหนี้ต่างประเทศที่สูงขึ้นเมื่อคำนวณเป็นสกุลเงินท้องถิ่น
มากไปกว่านี้ สถาบันการเงินระหว่างประเทศคาดว่าพันธบัตรและเงินกู้ร่วม (syndicated loans) ของประเทศ Emerging Economies ที่มีมูลค่ารวม 2.7 ล้านล้านดอลลาร์จะครบกำหนดไถ่ถอนและชำระคืนภายในสิ้นปี 2019 ซึ่งสัดส่วน 1 ใน 3 ของภาระหนี้นี้อยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศ ค่าเงินที่อ่อนค่า รวมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของประเทศ Emerging Economies กับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันอาจมีผลทางลบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ เราได้เห็นประเทศ Emerging Economies ที่มีปัจจัยแปลกๆ บางประเทศ เช่น ตุรกี, อาร์เจนตินาเผชิญกับแรงกดดัน
ความเสี่ยงข้อที่สองคือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
นั่นคือการปกป้องทางการค้าที่เพิ่มขึ้น และโดยเฉพาะความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน การตอบโต้กันไปมาของทั้งสองประเทศ และการที่ไม่สามารถคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นได้นั้น ได้ทำให้เกิดความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาคและการเงินใน 2-3 เดือนที่ผ่านมา
และจนถึงบัดนี้ ผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของระหว่างสองประเทศต่อการค้าโลกยังมีอยู่ไม่มาก เนื่องจากต้องใช้เวลากว่าผลจะส่งผ่านเต็มที่
แต่คุณวิรไทเสริมว่า
"คาดว่าผลกระทบเต็มของสงครามการค้าที่ยังคงมีอยู่ต่อเนื่องนั้นจะเกิดขึ้นในปีหน้า และข้อขัดแย้งทางการค้าที่เกิดเป็นระลอกหลายชุดคงไม่จบลงง่ายๆ หากว่ายังมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก ห่วงโซ่การผลิตหรือ supply chain และเครือข่ายการผลิตทั่วทั้งภูมิภาคก็จะชะงัก ขณะที่ปริมาณการค้าจะได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างแน่นอน และภาคที่จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงคือการลงทุนโดยตรง ซึ่งจากที่เราได้เห็นตัวอย่างมาแล้วในอดีต ก็จะลดลงจากความไม่แน่นอน และอาจจะขยายวงไปในแง่ที่ว่าความไม่แน่นอนนั้นจะทำให้การลงทุนลดลง สงครามการค้าที่ยืดเยื้อจะดึงกำลังการผลิตที่จะสร้างการเติบโตในอนาคตลง รวมทั้งชะลอการยกระดับเทคโนโลยีของธุรกิจ"
(พรุ่งนี้: ความเสี่ยงอีกสองประการของไทย).
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |