'ชำนาญ' เผยน้องเมียฟ้อง 'สืบพงษ์-วราวุธ-มณี' ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ


เพิ่มเพื่อน    

8 ต.ค.61 - ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล อธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 กับพวก ล่ารายชื่อผู้พิพากษายื่นขอถอดถอน นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา และกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ (ก.ต.) ในศาลฎีกา พ้นจากตำแหน่ง ก.ต. ด้วยข้อกล่าวหาว่าก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่และข่มขู่ผู้พิพากษาในคดีมรดกที่ศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยต่อมาวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา นายชำนาญได้ส่งเอกสารคำชี้แจงต่อสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อเผยแพร่ ระบุถึงคดีดังกล่าวเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของครอบครัว พร้อมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาว่าเป็นความเท็จ ไม่เคยก้าวก่ายแทรกแซงข่มขู่ผู้พิพากษาในการพิจารณาคดี ซึ่งจะนำไปสู่การลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนโดยผู้พิพากษาทั่วประเทศที่จะมีการนับผลคะแนนวันที่ 26 ต.ค.นี้ นั้น

นายชำนาญ เปิดเผยว่า จากคดีดังกล่าวเป็นคดีของครอบครัวเกี่ยวกับทรัพย์มรดก ซึ่งภรรยาตนเป็นทายาทและเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ตนและโจทก์ในคดีเพียงใช้สิทธิร้องเรียนผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 22 มิ.ย. 2561 นายสืบพงษ์นอกจากจะไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาแล้ว ยังให้ผู้พิพากษาที่ถูกร้องเรียนขึ้นนั่งพิจารณาคดีในวันที่ 3 ส.ค. 2561 ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าโจทก์ร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ต่อประธานศาลฎีกา 

เมื่อโจทก์คัดค้านและมีการเปลี่ยนผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนและองค์คณะ นายวราวุธ ถาวรศิริ รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 (ตำแหน่งขณะเกิดเหตุ) พร้อมองค์คณะผู้พิพากษาใหม่ขึ้นนั่งพิจารณาคดีให้งดการถามค้าน ให้ถามติงจำเลยต่อในทันที จนคดีเสร็จการพิจารณาและนัดฟังคำพิพากษา กระทั่งประธานศาลฎีกามีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลแขวงสมุทรปราการ เนื่องจากเห็นว่า “กรณีอาจเกิดผลกระทบต่อประโยชน์ที่สำคัญในการอำนวยความยุติธรรมของศาลยุติธรรม” ก็ปรากฏว่ามีสื่อมวลชนรายงานข่าวว่ามีกลุ่มผู้พิพากษามีปฏิกิริยาไม่เห็นด้วยต่อคำสั่งโอนคดีดังกล่าว เหตุใดกลุ่มผู้พิพากษาตามข่าวจึงดึงดันให้พิจารณาคดีนี้ที่ศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ทั้งที่ปรากฏเหตุความขัดแย้งรุนแรง

“นายสืบพงษ์และนายวราวุธมีหน้าที่รับผิดชอบราชการของศาล แต่ไม่ให้คำแนะนำผู้พิพากษาที่ถูกร้องเรียนว่าการนั่งพิจารณาคดีต่อไปจะเป็นข้อครหาในเรื่องความเป็นกลางและกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม กลับยังคงให้นั่งพิจารณาคดีต่อไป นอกจากนี้นายสืบพงษ์เมื่อได้รับการร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาแล้ว มีหน้าที่ต้องตรวจสอบว่ามีการกระทำเช่นนั้นจริงหรือไม่ และต้องแก้ไขปัญหาเพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปโดยเรียบร้อยและเป็นธรรมแก่คู่ความทุกฝ่าย ไม่เกิดข้อครหาและผลเสียหายร้ายแรงต่อราชการของศาลยุติธรรมและประโยชน์ของคู่ความทุกฝ่าย แต่กลับเพิกเฉย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่คดีของโจทก์” นายชำนาญ กล่าว

นายชำนาญ กล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2561 น.ส.เยาวมาลย์ จิระเลิศพงษ์ น้องสาวของภรรยาในฐานะโจทก์ในคดี จึงได้มอบอำนาจให้ทนายความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ให้ดำเนินคดีแก่นายสืบพงษ์, นายวราวุธ และ น.ส.มณี สุขผล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา เจ้าของสำนวนคดีนี้ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 

ซึ่งหลังจากพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จสิ้น ก็จะเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อไป และถ้าส่งฟ้องก็ส่งต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบในท้องที่ เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติหลักเรื่องความเป็นอิสระของผู้พิพากษา ก็เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่ประชาชนในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในทางการศาลว่า ประชาชนจะได้รับการพิจารณาพิพากษาคดีด้วยความเป็นธรรมอย่างแท้จริง แต่ความเป็นอิสระต้องเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย

“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2561 แสดงให้เห็นว่าไม่มีทางที่ผมจะไปแทรกแซงหรือข่มขู่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ ผมได้แจ้งให้ ก.ต.ทราบพร้อมทั้งได้โต้แย้งการปฏิบัติหน้าที่ของ ก.ต.และอนุ ก.ต. ในการพิจารณาความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งรองประธานศาลฎีกาว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่แจ้งข้อเท็จจริงที่เป็นผลร้ายและให้โอกาสผมได้ชี้แจงแก้ข้อเท็จจริงนั้น ดังนั้น จะถือว่าเป็นมติที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติได้อย่างไร ก.ต.เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ การอภิปรายในที่ประชุมต้องเป็นเรื่องจริงที่ผ่านการตรวจสอบและต้องรับผิดชอบ ถ้ากระทำโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็มีความรับผิดชอบไม่ต่างจากเจ้าหน้าที่ของรัฐทั่วไป” นายชำนาญ กล่าวถึงการพิจารณาของ ก.ต.ที่มีมติเสียงข้างมากไม่เห็นชอบให้นายชำนาญขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานศาลฎีกาจากกรณีคดีดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าขบวนการทั้งหมดที่โจมตีท่านตั้งแต่แรกในการยื่นร้องขอถอดถอนครั้งนี้ ท่านคิดว่ามีแรงจูงใจจากอะไรที่ทำให้พวกเขาดำเนินการเช่นนี้ นายชำนาญ กล่าวว่า ถ้าดูจากคำชี้แจงของตนจะเห็นได้ว่าทำไม แต่ถ้าจะให้ชัดเจนต้องรอ ป.ป.ช.สอบแล้วจะเห็นชัด ก็จะรู้ว่าทำไม

เมื่อถามว่าทำไมคดีที่ฟ้องทั้งหมด ท่านถึงไม่เป็นโจทก์ฟ้องในฐานะผู้เสียหายโดยตรงต่อศาล แต่ไปร้องทุกข์กับสถานีตำรวจ ทางตำรวจกับอัยการจะกดดันในการทำคดีหรือไม่ที่ต้องทำเรื่องฟ้องผู้พิพากษา นายชำนาญ ระบุว่า ทำได้ทั้ง 2 ทาง ฟ้องเองหรือแจ้งความได้ ที่ตนเลือกแจ้งความเพราะเป็นคนกลางจะดีกว่า ให้องค์กรที่มีหน้าที่ดำเนินการ ทั้งพนักงานสอบสวนและอัยการมีหน้าที่ดำเนินคดีแทนประชาชนอยู่แล้ว จะได้เป็นกลาง ไม่เป็นการกดดันเพราะทั้งสองส่วนมีหน้าที่อยู่แล้ว ไม่มีปัญหา

ถามถึงคดีที่ได้โอนไปศาลแขวงสมุทรปราการแล้วมีความรู้สึกและความคืบหน้าอย่างไร นายชำนาญ กล่าวว่า ตามคำสั่งของประธานศาลฎีกาชัดเจนอยู่แล้ว ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของทนายความที่รอทางศาลนัดพร้อมคู่ความ ส่วนจะนัดวันไหนตนยังไม่ทราบ

เมื่อถามถึงกรณีวันนี้ (8 ต.ค.) ทางสำนักงานศาลยุติธรรมกำหนดส่งบัตรลงมติยื่นถอดถอนให้ผู้พิพากษาทั่วประเทศเป็นวันแรก ท่านหนักใจหรือไม่ กระแสตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง หากเสียงถอดถอนเกินกึ่งหนึ่งจะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายชำนาญ กล่าวว่า ถ้าท่านผู้พิพากษาได้อ่านคำชี้แจงของตนแล้ว เชื่อในวิจารณญาณของท่าน ปล่อยให้เป็นดุลพินิจของท่าน ขณะนี้มีการหาเสียงเป็น ก.ต.แทนตนกันแล้ว ก็เป็นเรื่องน่าแปลก บางท่านคงอยากเป็น ก.ต. ส่วนตัวไม่กังวลใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านผู้พิพากษาประสงค์ให้ทำหน้าที่ต่อตนก็ทำ ไม่ให้ทำตนก็พักผ่อน ไม่ไปดำเนินการอะไร อายุงานตนผ่านมานานขนาดนี้ มีหน้าที่อื่นอีกมากที่ต้องทำ การดำรงตำแหน่ง ก.ต.เป็นหน้าที่ส่วนหนึ่ง จากนี้ไม่มีอะไรแล้ว คงจะให้เวลาท่านได้ไตร่ตรอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ทางสำนักงานศาลยุติธรรมเริ่มส่งบัตรลงมติยื่นถอดถอนหรือไม่ถอดถอนนายชำนาญ จากตำแหน่ง ก.ต. ให้ผู้พิพากษาทั่วประเทศเป็นวันแรกทางไปรษณีย์ หรือส่งผ่านเจ้าหน้าที่ทางธุรการถึงผู้พิพากษาในศาลบางแห่งตามความสะดวก ซึ่งกำหนดให้ผู้พิพากษาทั่วประเทศส่งบัตรลงมติที่ได้ลงคะแนนแล้วกลับมายังสำนักงานศาลยุติธรรมภายในวันที่ 25 ต.ค.นี้ เวลา 16.30 น. ก่อนจะมีการนับผลคะแนนในวันที่ 26ต.ค.นี้ ที่สำนักงานศาลยุติธรรม โดยการจะถอดถอนได้ตามระเบียบต้องมีคะแนนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้พิพากษาทั่วประเทศที่มีสิทธิลงคะแนน 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"