สอบคุณสมบัติ7ว่าที่กกต. ปูดเด็กชงกาแฟโผล่ติดโผ


เพิ่มเพื่อน    

ศาลฎีกาเลือก "ปกรณ์ มหรรณพ" เป็น กกต.คนสุดท้าย ด้าน สนช.เล็งตั้ง กมธ.ตรวจสอบประวัติคุณสมบัติว่าที่ กกต.ชุดใหม่ ขณะที่ทุ่มงบ 17 ล้านเนรมิตห้องทำงานรับ 7 เสือ เตรียมชงซื้อรถประจำตำแหน่งใหม่ 7 คัน "วัชระ" แฉ คสช.ส่งเด็กหน้าห้องชงกาแฟโผล่นั่งองค์กรอิสระ ซัดไม่ต่างระบอบทักษิณ เตือนถ้ารับใบสั่งอาจซ้ำรอยชุด "วาสนา" ที่โดนจำคุกมาแล้ว

ที่ศาลฎีกา ถ.แจ้งวัฒนะ วันที่ 6 ธันวาคม นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา ได้เรียกประชุมใหญ่ศาลฎีกาซึ่งปัจจุบันมีผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งสิ้น 176 คน เพื่อลงมติเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำนวน 1 คน หลังจากที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมใหญ่ได้ลงมติเลือกนายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ผ่านเกณฑ์เป็นคนแรกที่ได้รับเลือกเป็นผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็น กกต. แต่ตามกฎหมายกำหนดให้ต้องมีสัดส่วนที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีการวม 2 คน โดยการลงมติครั้งนี้มีผู้สมัครที่ได้รับการเสนอชื่อ 2 คน ประกอบด้วยนายปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา และนายประพาฬ อนมาน ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์

โดยผลการลงมติปรากฏว่า นายปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้เป็นผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็น กกต.คนที่ 2 ครบตามจำนวน

สำหรับนายปกรณ์นั้น ในการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้พิพากษาได้รับความเจริญก้าวหน้าดำรงตำแหน่งต่างๆ เช่น อดีตรองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 4, อดีตอธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 (ภาคอีสานตอนบน) และปัจจุบันยังได้รับเลือกเป็นหนึ่งในอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (อ.ก.ต.) ในศาลฎีกา (วาระ 2559-2561) ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวมีหน้าที่พิจารณาบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายผู้พิพากษาเบื้องต้น รวมทั้งประเด็นการรับเรื่องราวร้องเรียนต่างๆ

ทั้งนี้ เมื่อวันอังคาร คณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้งได้พิจารณาเลือกผู้ที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่ง กกต.ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 จำนวน 5 คน ประกอบด้วย นายเรืองวิทย์ เกษสุวรรณ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ, นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช., นายอิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์, นางชมพรรณ์ พงษ์เจริญ สุธีรชาติ ที่ปรึกษากฎหมาย บริษัท วรวิสิฏฐ์ จำกัด และหัวหน้าสำนักงานกฎหมายสุธีรชาติ และนายประชา เตรัตน์ อดีตผู้ว่าฯ นราธิวาส ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี

ขณะที่ก่อนหน้านี้ศาลฎีกาได้ลงมติเลือกนายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็น กกต.เพียงคนเดียว จึงถือว่าได้รายชื่อผู้ได้รับการสรรหาเป็น กกต.ครบทั้ง 7 คนแล้ว

ที่รัฐสภา นายสมชาย แสวงการ เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) กล่าวว่า ขั้นตอนต่อไปจะต้องส่งรายชื่อทั้ง 7 คนมาให้ สนช.พิจารณา ซึ่งจะต้องนำเข้าวิป สนช.เพื่อตั้ง กมธ.ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ผ่านการคัดเลือกในด้านความประพฤติ จริยธรรม อาทิ เคยถูกร้องเรียนเรื่องการทุจริต การประพฤติผิดศีลธรรม ความเป็นกลางทางการเมืองหรือไม่ ถ้ามีต้องเรียกมาสอบถามข้อเท็จจริง จากนั้นจึงส่งเรื่องให้ที่ประชุม สนช.ลงมติให้ความเห็นชอบภายใน 45 วัน นับจากที่คณะกรรมการสรรหาและที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาส่งชื่อมาให้ หาก สนช.ไม่เห็นชอบใครเพราะมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม ต้องส่งรายชื่อกลับไปเพื่อสรรหาใหม่

เด็กชงกาแฟนั่งองค์กรอิสระ

นายสมชายกล่าวว่า ส่วนกรณีที่คนดังหลายคนไม่ได้รับการคัดเลือก ส่วนหนึ่งมาจากกฎหมายกำหนดคุณสมบัติ กกต.เข้มข้นมาก โดยเฉพาะกรณีต้องดำรงตำแหน่งอธิบดี หรือหัวหน้าส่วนราชการเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี ทำให้คนดังหลายคนไม่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติข้อนี้ เช่น กรณีเป็นข้าราชการ ต้องเป็นอธิบดี หรือปลัดกระทรวงเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี หากใครเป็นอธิบดีแล้วย้ายไปเป็นรองปลัดกระทรวงจะไม่อยู่ในเงื่อนไขให้นับรวมในระยะเวลา 5 ปีได้ หรือหากเป็นตำรวจและทหารจะต้องเป็น ผบ.ตร. หรือ ผบ.เหล่าทัพเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติเป็น กกต.ได้

"ซึ่งน่าเสียดายเพราะตำรวจระดับผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค หรือแม่ทัพภาค คุมกองกำลังนับพันคน แต่ไม่สามารถลงสมัครได้ เมื่อเทียบกับผู้บริหารรัฐวิสาหกิจบางแห่ง มีกำลังคนเพียงไม่กี่ร้อยคน แต่อยู่ในเงื่อนไขเข้าเกณฑ์สมัครได้ อย่างไรก็ตามผู้ผ่านการคัดเลือก แม้บางคนอาจไม่เป็นที่รู้จัก ชื่อไม่คุ้นหู แต่เมื่อผ่านการคัดเลือกมาแล้ว ถือว่ามีคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถเหมาะสม เพราะเกณฑ์การคัดเลือกกำหนดคุณสมบัติไว้สูงมาก" นายสมชายกล่าว

ด้านนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงผลการสรรหา กกต.ว่า เข้าใจในบริบทของข้อจำกัดทางการเมืองในขณะนี้ แต่ก็ไม่พ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมไปได้ เพราะสังคมจับจ้องมองดูอยู่ทุกขณะว่า การเมืองภายใต้การปฏิรูปของ คสช.จะออกมาในทิศทางใด และเมื่อปรากฏรายชื่อในองค์กรอิสระต่างๆ ก็เป็นที่ชัดเจนว่า คสช.ได้ส่งคนที่สั่งได้หรือเป็นเด็กชงกาแฟหน้าห้องไปอยู่ในองค์กรต่างๆ ยกเว้นศาลยุติธรรม ใครเป็นใครก็ไปถามไถ่กันเอาเอง ไม่แตกต่างอะไรจากระบอบทักษิณเลยแม้แต่น้อย แล้วจะปฏิรูปประเทศได้อย่างไร

"ถ้าเล่นพรรคเล่นพวกกันอย่างนี้ ประชาชนเห็นก็เสื่อมศรัทธาแล้ว ผมขอเตือนว่าที่กรรมการ กกต.บางท่านแต่เนิ่นๆ ว่าอย่าคิดว่าทำอะไรไม่มีใครรู้ใครเห็น สังคมนกมีหูหนูมีปีกคนมีไลน์มันปิดกันไม่มิด ถ้าใครรับใบสั่ง คสช.หรือจิตอคติ ไม่ยุติธรรม มีผลประโยชน์แอบแฝง ขอให้ดู กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นตัวอย่าง ขนาดพลตำรวจเอกหรืออดีตผู้ว่าฯ ก็ติดคุกมาแล้ว อดีตที่ผ่านมาไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าได้เป็นกรรมการองค์กรอิสระแล้วก็ขอให้ซื่อสัตย์ สุจริต เที่ยงธรรม เป็นธรรมต่อทุกพรรคการเมือง ต่อผู้สมัครทุกคน อย่าลำเอียงหรือมีธงมาตั้งแต่ต้น ไม่เช่นนั้นความวิบัติจะเกิดขึ้นแก่ผู้นั้นเองดังที่เคยเกิดขึ้นแล้ว"

นายวัชระกล่าวด้วยว่า นักการเมืองหรือพรรคการเมืองเปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือของ คสช. และกกต.จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด เมื่อเรายืนอยู่ในหลักการที่ถูกต้องและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดทุกประการ ก็ไม่ต้องกลัวอะไร ทำหน้าที่นักการเมืองเดินหน้าปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนต่อไป โดยไม่ต้องไปกลัว คสช.หรือ กกต.

ทุ่ม 17 ล้านรับ 7 กกต.ใหม่

ที่สำนักงาน กกต.มีรายงานว่า หลังจากที่รัฐธรรมนูญ 60 มีผลบังคับใช้ โดยมีการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของ กกต.ให้เป็นลักษณะของคณะกรรมการหรือบอร์ด รวมทั้งกำหนดจำนวน กกต.เพิ่มขึ้นจาก 5 เป็น 7 คน และปัจจุบันได้ปรับโครงสร้างและรูปแบบการทำงานของ กกต.บ้างแล้ว รวมกับมีการสรุปงานที่จะต้องส่งมอบให้ กกต.ชุดใหม่เมื่อเข้าปฏิบัติหน้าที่ ล่าสุดได้เตรียมห้องทำงานของ กกต.ชุดใหม่อีก 2 ห้อง โดยห้องทำงานเดิมของ กกต. 5 คนจะอยู่ที่บริเวณชั้น 8 ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับห้องประชุมกกต. แต่เนื่องจากบริเวณชั้นดังกล่าวมีปัญหาในเรื่องพื้นที่จึงไม่สามารถขยายหรือปรับปรุงให้เป็นห้องทำงานสำหรับ กกต.ใหม่อีก 2 คนได้

สำนักงานจึงได้ใช้พื้นที่บริเวณชั้น 9 ที่เดิมเป็นห้องรับรองและห้องจัดเลี้ยง โดยได้ปรับปรุงให้กลายเป็นห้องทำงาน 2 ห้อง โดยจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ และให้กรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ออกแบบ ก่อนที่จะเปิดให้เอกชนมายื่นซองประมูลในราคาที่ตั้งไว้ 17,799,000 บาท แต่บริษัทที่ประมูลได้งานไปจะสร้างด้วยงบประมาณราว 15 ล้านบาทเศษ

ทั้งนี้ มีรายงานว่าสาเหตุที่ทำให้การปรับปรุงห้องทำงานดังกล่าวใช้งบประมาณค่อนข้างสูง เนื่องจากเดิมพื้นที่ชั้น 9 ไม่ได้ก่อสร้างไว้เพื่อรองรับที่จะทำเป็นห้องทำงาน จึงต้องมีการปรับพื้นที่ใหม่ทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบการป้องกันเพลิงไหม้ ป้องกันความร้อน และการจัดวางผังห้องให้มีห้องทำงานส่วนตัว ห้องของทีมงาน รวมถึงห้องน้ำ ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างปรับปรุงมาตั้งแต่เดือน ส.ค.และกำหนดแล้วเสร็จในสิ้นเดือน ธ.ค.นี้ อย่างไรก็ตามเมื่อ กกต.ชุดใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ การเลือกห้องทำงานว่าจะใครจะอยู่ห้องชั้น 8 หรือชั้น 9 ก็ให้ตกลงกันเอง

นอกจากนี้ ได้มีการพิจารณาจัดหารถประจำตำแหน่ง โดยก่อนหน้านี้ กกต.ได้มีมติอนุมัติจัดซื้อรถเบนซ์ประจำตำแหน่งเพิ่มเติมอีก 2 คนเพื่อรองรับ กกต.ที่เพิ่มขึ้นอีก 2 คน เพราะเดิม กกต.มีรถเบนซ์ประจำตำแหน่ง 5 คันแล้ว แต่สำนักงาน กกต.เห็นว่ารถประจำตำแหน่งเดิมทั้ง 5 คันจะสิ้นสุดอายุการใช้งาน 5 ปีในช่วงต้นปี 61 ซึ่งเป็นช่วงที่ กกต.ใหม่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่แล้ว จึงมีแนวคิดว่าอยากจะจัดซื้อใหม่ทั้ง 7 คันไปพร้อมกันเลย เพื่อไม่เกิดความลักลั่นว่าใครจะใช้รถเก่าหรือรถใหม่ แต่ถ้าหากมีปัญหาในเรื่องของงบประมาณก็อาจใช้วิธีการเช่าซื้อแทนการจัดซื้อไปก่อน แล้วรอให้รถประจำตำแหน่งชุดเก่าครบอายุจึงจะซื้อใหม่ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า กกต.ชุดปัจจุบันเห็นว่าไม่ควรที่จะซื้อใหม่ทั้งหมด เนื่องจากรถประจำตำแหน่งเดิม 5 คันก็ยังอยู่ในสภาพที่ดี ประกอบกับเกรงว่าอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจึงไม่น่าจะมีการพิจารณาอนุมัติ อีกทั้งเรื่องดังกล่าวไม่ได้อยู่ในแผนงบประมาณของปีนี้ที่ได้มีการอนุมัติไปแล้ว การให้กกต.ชุดใหม่เป็นผู้พิจารณาและจัดซื้อในงบประมาณใหม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"