ก้าวสู่ปีที่ 4 เก้าอี้ ผบ.ตร. "บิ๊กแป๊ะ" มอบนโยบายจัดระเบียบตำรวจนอกแถวสร้างภาพลักษณ์องค์กร ฟุ้งต้องจัดแถวตำรวจให้อยู่ในระบบ ฮือฮา! ฉายวีดิทัศน์สะท้อนด้านลบตำรวจ มีทั้งรีดไถ เมาเหล้า ให้ดูเป็นตัวอย่าง
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่สโมสรตำรวจ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการสัมมนามอบนโยบายการบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2561 เพื่อกำหนดนโยบายบริหารงานให้กับทุกหน่วยในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
มีผู้เข้าร่วมสัมมนามอบนโยบาย จำนวน 485 นาย เป็นผู้บังคับบัญชาระดับ ตร. 24 นาย, ผู้บัญชาการ(ผบช.) หรือตำแหน่งเทียบเท่า 41 นาย, รองผู้บัญชาการ (รอง ผบช.) หรือตำแหน่งเทียบเท่า 151นาย, ผู้บังคับการ (ผบก.) หรือตำแหน่งเทียบเท่า 279 นาย หลังเสร็จสิ้นฤดูการแต่งตั้งโยกย้ายระดับนายพลวาระปี 61 และในวันนี้เป็นการมอบนโยบายการบริหารงานให้กับข้าราชการตำรวจอีกครั้งของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่ดำรงตำแหน่งเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ก้าวสู่ปีที่ 4 ปี ซึ่งเป็นคนแรกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุด
ก่อนเริ่มการมอบนโยบายได้มีการฉายวีดิทัศน์การทำงานในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร. ที่บรรลุเป้าหมายหลายมิติ ทั้งการพัฒนาองค์กร ที่ไดัรับการสนับจากรัฐบาล ยานพาหนะ อาวุธยุทธภัณฑ์ เครื่องมือสื่อสารที่ครบวงจร รวมทั้งการเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ การสืบสวนสอบสวนระดับสากลมาตรฐานเดียวกันกับเอฟบีไอของสหรัฐอเมริกา การเตรียมความพร้อมของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ การปราบปรามอาชญากรรม
การบังคับใช้กฎหมายและสนองนโยบายของรัฐบาล เช่น การปราบปรามยาเสพติด กำหนดแผนระดับลดปัญหายาเสพติด สร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและเยาวชน ปัญหาการค้ามนุษย์ ค้าประเวณีที่ประสบผลสำเร็จจากการจัดอันดับจากเทียร์ 3 เป็นเทียร์ 2 ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจากระดับถูกเฝ้าจับตามองพิเศษเป็นระดับเฝ้าจับตามอง การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ
และช่วงท้ายของวีดิทัศน์ได้สรุปผลการบริหารงานของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน เป็นผู้นำที่สามารถประสานเป็นปึกแผ่นกับผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ ขับเคลื่อนเหล่าทัพสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และจะนำข้าราชการตำรวจสู่ปีที่ 4 ไปด้วยกัน และเพื่อให้งานตำรวจมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวกและบริการที่รวดเร็ว เสมอภาค เป็นธรรม มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น มีความหวาดกลัวภัยน้อยลง เชื่อมั่นในการอำนวยความยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายที่โปร่งใส สะดวกและรวดเร็ว ส่งผลให้สังคมประเทศชาติมีความมั่นคงและสงบสุข
สะท้อนภาพด้านลบ
นอกจากนี้ วีดิทัศน์ยังได้มีการนำเสนอข้อมูล ตัวอย่างข่าวสารที่สะท้อนภาพลักษณ์ด้านลบของตำรวจ อาทิ การรับสินบน การวางตัวไม่เหมาะสม เมาสุรา โดยนำเสนอข้อมูลข้าราชการตำรวจที่ถูกดำเนินการทางวินัยในปีงบประมาณ 2560 รวม 3,197 นาย ตามความผิดข้อร้องเรียนต่างๆ ให้ออกจากราชการไปแล้วถึง 265 นาย รวมถึงการร้องเรียนพนักงานสอบสวนที่ไม่สามารถบริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพในเรื่องต่างๆ
ก่อนมอบนโยบาย พล.ต.อ.จักรทิพย์เปิดเผยว่า แนวนโยบายในการทำงานปี 62 ยังคงยึดแนวทางเดิม ตั้งแต่ปี 59 มีด้วยกัน 6 ภารกิจหลัก 1.การพิทักษ์ปกป้องและเทิดพระเกียรติเพื่อสร้างความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.การรักษาความมั่นคงและความเรียบร้อยในสังคม 3.การป้องกันปราบปรามและลดระดับอาชญากรรม 4.การแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ 5.การเร่งรัดขับเคลื่อนกระบวนการปฏิรูปองค์กรตำรวจในยุคประชาคมอาเซียน 6.การเสริมสร้างความสามัคคีและการบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจ
ผบ.ตร.เผยต่อว่า ที่เพิ่มเติมมาในนโยบายปี 62 คือนำส่วนข้อบกพร่องของการทำงานหลายปีที่ผ่านมานำมาแก้ไข มีอยู่หลายๆ เรื่องด้วยกัน เช่น เรื่องการร้องเรียนต่างๆ เรื่องร้องเรียนเงินกู้สหกรณ์จังหวัดเลย เรื่องเกี่ยวกับพนักงานสอบสวน ต้องนำมาใช้เป็นโจทย์ให้ผู้บัญชาการแต่ละภาค ผู้บังคับการไปตอบโจทย์ ปัญหาต่างๆ ที่ได้รับการร้องเรียนแต่ละปีมีผู้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดประมาณ 3,000 ราย
"ต้องจัดแถวตำรวจเหล่านี้ให้อยู่ในระบบ เช่นพนักงานสอบสวนนัดคู่กรณีมาสอบ แต่ตัวเองไม่มาต้องให้รออยู่ 2-3 ชั่วโมง หรือให้ผู้เสียหายไปหาพยานหลักฐานเอง เพราะประชาชนที่มาโรงพักต้องได้รับความสบายใจกลับไป"
เขากล่าวว่า สิ่งเหล่านี้จะนำมาเป็นโจทย์ให้ผู้บัญชาการแต่ละภาค หัวหน้าแต่ละสถานี ไปแก้ไขปัญหา เพราะโรงพักเป็นสิ่งที่ประชาชนให้ความสำคัญมากที่สุด ใครได้รับความเดือดร้อนก็ต้องมาโรงพัก
"การทำงานในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ที่ผมเป็นผู้นำองค์กร ให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน สิ่งไหนที่ผิดพลาดก็นำมาแก้ไข ผมไม่ใช่เป็นคนไม่ยอมรับความจริง ถ้ามีตำรวจนอกแถวก็ดำเนินการตามระเบียบวินัย"
เมื่อถามว่า ต้นปีหน้าก็จะเข้าสู่การเลือกตั้ง ได้มีการมอบนโยบายตรงนี้ด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เผยว่า ได้มีการมอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำไปปฏิบัติ ให้ไปดูข้อกฎหมายทั้งหมด พ.ร.บ., พ.ร.ป. และคำสั่ง คสช.ต่างๆ ศึกษาให้ถ่องแท้
แบ่งงานรอง ผบ.ตร.
ส่วนการมอบหมายลักษณะงาน 6 ด้านให้ รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบ ประกอบไปด้วย 1.งานด้านป้องกันปราบปรามอาชญากรรม มอบหมายให้ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้กำกับดูแลและบริหารราชการสั่งและปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
2.งานด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ มอบหมายให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้กำกับดูแลและบริหารราชการสั่งและปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
3.งานด้านกฎหมายและคดี มอบให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้กำกับดูแลและบริหารราชการสั่งและปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
4.งานจเรตำรวจ มอบหมายให้ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้กำกับดูแลและบริหารราชการสั่งและปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
5.งานบริหาร มอบหมายให้ พล.ต.อรุ่งโรจน์ แสงคร้าม รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้กำกับดูแล และบริหารราชการสั่งและปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ
6.งานสืบสวนสอบสวน มอบหมายให้ พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้กำกับดูแลและบริหารราชการสั่งและปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าได้มีเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด หรืออีโอดี และ สุนัขตำรวจกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (191) เข้าตรวจสอบเอกซเรย์พื้นที่อย่างละเอียด ขณะที่ช่างภาพทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวต้องนำอุปกรณ์มาตรวจจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลเช่นเดียวกัน
วันเดียวกันนี้ หลัง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.ผบช.สตม. และ พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รรท.ผบก.สส.สตม. และชุดสืบสวน สตม. เข้าขอความร่วมมือคอนโดสตาร์วิว เพื่อตรวจสอบชาวต่างชาติที่พักอาศัยว่าตรงกับที่แจ้งไว้กับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองหรือไม่
จากการตรวจสอบพบมีชาวต่างชาติหลายคนแจ้งที่อยู่อาศัยตรงกับที่แจ้งไว้กับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง แต่พบว่าส่วนใหญ่คนไทยซึ่งเป็นเจ้าของห้องเช่ากลับไม่แจ้งถิ่นที่อยู่ของชาวต่างชาติให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองทราบ จึงมีความผิดตามกฎหมาย ขณะนี้อยู่ระหว่างเรียกตัวเจ้าของห้องชุดมาดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งความผิดดังกล่าวมีโทษแค่ปรับเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ตำรวจได้จับกุมนายลี ซึงกึน (MR.LEE SEUNGKUN) อายุ 42 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ ซึ่งอาศัยในคอนโดฯ ดังกล่าวด้วย และจากการตรวจสอบ พบว่านายลี ซึงกึน ได้หนีคดีฉ้อโกง 7 คดีที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งมูลค่าความเสียหาย 190 ล้านวอน หรือประมาณ 6,000,000 บาท.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |