เปล่าหาเสียง “บิ๊กตู่” นำทีม ครม.ทัวร์กรุงเทพฯ รำไท้เก๊กสวนลุมฯ ตรวจงานหัวลำโพง ลั่นขอเวลาอีกไม่นาน ยันไม่หลอก-ไม่โกหก อดทนรอรถไฟรางคู่ นั่งเรือคลองผดุงฯ ชี้สะพานมัฆวานฯ ประวัติศาสตร์ม็อบ ขอทุกคนรักกัน มีสำนึกประชาธิปไตย ช่วยกันทำบ้านเมืองสงบ

    เมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 5 ตุลาคม ที่สวนลุมพินี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใส่ชุดวอร์ม พร้อมสวมรองเท้าคอนเวิร์ส วัน สตาร์ สีขาว ( converse all star) เดินทางมาออกกำลังกายเป็นการส่วนตัว ด้วยการเดินและวิ่งประมาณ 1 ชั่วโมง โดยไม่แจ้งกำหนดการล่วงหน้า ก่อนที่เวลา 07.20 น. นายกฯได้เดินออกกำลังกายตามกำหนด โดยได้แวะทักทายกับบรรดากลุ่มชาวบ้านย่านสวนลุมฯ ที่มาออกกำลังกายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
    จากนั้น เวลา 07.40 น. พล.อ.ประยุทธ์เปลี่ยนชุดแต่งกายมาสวมเสื้อแจ็กเกต พร้อมถวายราชสักการะพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.6 ต่อด้วยการออกกำลังกายร่วมกับประชาชนในสวนลุมพินี โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย,  นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม, นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา, นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง,  พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม., นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯ กทม. ร่วมคณะ
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การมาครั้งนี้ไม่อยากรบกวนผู้ที่มาออกกำลังกายในสวนลุมฯ เพราะเดี๋ยวเขาจะว่านายกฯ มาเกะกะ แต่ที่มาเพราะต้องการเยี่ยมเยียน เหมือนกับที่ได้ไปเยี่ยมประชาชนในต่างจังหวัด ขออย่ามองว่ามาเพื่อการเมือง การเมืองก็คือการเมือง อย่างไรก็ตาม ประชาชนได้ขอให้ช่วยดูเรื่องที่จอดรถ ที่นั่งพักผ่อน รวมถึงคนเร่ร่อนที่มาอาศัยอยู่ภายในสวนลุมฯ เพราะเมื่อปิดสวนลุมฯ แล้วก็ยังมีคนเข้ามานอน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่าดู โดยจะให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไปช่วยดู
    “ผมมาครั้งนี้ไม่ได้มาหาเสียง เดี๋ยวจะว่ามาหาเสียงกันอีก" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    สำหรับการออกกำลังกายในครั้งนี้ นายกฯ ได้ร่วมรำไท้เก๊กกับบรรดาชาวไทยเชื้อสายจีน โดยระบุว่า การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีต่อตัวเอง และถือเป็นการช่วยรัฐบาลในการประหยัดงบประมาณ เพราะเมื่อสุขภาพดีก็ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล จะได้นำเงินส่วนนี้ไปช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วย
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความเป็นกันเองกับชาวบ้าน เปิดโอกาสให้ถ่ายภาพร่วม โดยไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยกันประชาชนเหมือนเช่นที่ผ่านมา
    ต่อมาเวลา 09.00 น. นายกฯ และคณะ ตรวจเยี่ยมระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) สายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) โดยเดินทางจากสถานีสีลมไปยังสถานีหัวลำโพง โดยนายกฯ ได้ตรวจเยี่ยมสถานีรถไฟฟ้าหัวลำโพง พร้อมรับฟังบรรยายสรุปการเชื่อมต่อรถไฟฟ้า-รถไฟ-เรือ ชมกิจกรรมของ MRT อาทิ การประกวดระบายสี โดยมีประชาชนที่ใช้บริการรถไฟฟ้ามหานครขอถ่ายภาพร่วมกับนายกฯ
    จากนั้นที่สถานีรถไฟหัวลำโพง นายกฯ ได้เยี่ยมชมบูธของทูต 2 ล้อวรรณกับหมู ซึ่งเป็น 2 คนไทยที่ปั่นจักรยานไปรอบโลก และได้ลงนามในสมุดเยี่ยมระบุว่า “ขอบคุณในการนำชื่อเสียงของคนไทย ประเทศไทยไปทั่วโลกด้วยความวิริยอุตสาหะ ขอให้ประสบสุข สำเร็จปลอดภัยตลอดไป”
    ก่อนทักทายประชาชนทั้งชาวไทยและต่างชาติที่มาใช้บริการรถไฟที่หัวลำโพง พร้อมกับสอบถามว่า “จะเดินทางไปไหน ขอให้ทุกคนเดินทางปลอดภัยนะ วันข้างหน้ารถไฟจะเร็วขึ้น รัฐบาลจะทำให้เต็มที่ ผมไม่หลอกและไม่โกหก แต่ต้องให้เวลาผม จะแก้ไขทุกอย่างได้เอง”
    ทั้งนี้ นายกฯ ได้ร่วมถ่ายรูปกับคณะและผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย ก่อนที่จะเดินไปทักทายประชาชนที่รอบริเวณชานชาลารถไฟ โดยนายกฯ ได้เอามือป้องปากและตะโกนคุยกับประชาชนข้ามชานชาลา และได้ชูมือทำสัญลักษณ์ไอเลิฟยู พร้อมกล่าวว่า “เดี๋ยววันหน้าจะมีรถไฟทางคู่ รถไฟจะวิ่งเร็วกว่าเดิมเพราะวิ่งสวนกันได้ ตอนนี้ทำไปได้กว่า 2,000 กิโลเมตรแล้ว จากเดิมที่ทำมาหลายปีได้ไปไม่กี่ร้อยเมตร รัฐบาลนี้อยู่มา 4 ปี ทำไปกว่า 2,000 กิโลเมตร ต่อไปอีกระยะหนึ่งจะมีกว่า 4,000 กิโลเมตร”
    ระหว่างที่นายกฯ กำลังหันหลังกลับ ได้มีประชาชนตะโกนบอกนายกฯ ว่า นายกฯ สู้ๆ ขณะที่นายกฯ กล่าวตอบกลับไปว่า อดทนหน่อย ขอเวลา รัฐบาลได้วางแผนไว้แล้วในยุทธศาสตร์ชาติ
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเดินทางออกจากหัวลำโพง พล.อ.ประยุทธ์ได้สังเกตเห็นพระชาวต่างชาติ กำลังซื้อตั๋วเดินทาง จึงได้เข้าไปนมัสการ พร้อมสอบถามพระรูปดังกล่าวด้วยภาษาอังกฤษ ว่ามาจากที่ใด และจะเดินทางไปที่ใด พร้อมถามว่าบวชกี่พรรษาแล้ว 
    โดยพระสงฆ์ตอบว่า ชื่อ Brother mark หรือหลวงพี่มาร์ค ชื่อทางธรรมว่า ภิกขุ อกาชิโก (Bhikkhu aggacitto) ชาวสหรัฐอเมริกา บวชมา 16 ปีแล้ว จากนั้นพระสงฆ์ชาวต่างชาติได้สอบถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่าชื่ออะไร โดยนายอาคมตอบแทนว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ของประเทศไทย ทำให้พระฝรั่งถึงกับตกใจ จึงได้ขอนามบัตรจากนายกฯ แต่นายกฯ ไม่ได้พกนามบัตร จึงไม่ได้มอบให้แต่อย่างใด
    ต่อมาเวลา 10.15 น. พล.อ.ประยุทธ์พร้อมคณะออกเดินทางโดยเรือจากท่าเรือสถานีรถไฟหัวลำโพง ไปยังท่าเรือเทวราชกุญชร (เทเวศร์) เพื่อตรวจการพัฒนาจุดเชื่อมต่อการเดินทาง “ล้อ ราง เรือ” ของกรุงเทพมหานคร โครงการเดินเรือคลองผดุงกรุงเกษม จากท่าเรือรถไฟหัวลำโพงไปยังท่าเรือเทวราชกุญชร ระยะทาง 5 กิโลเมตร 11 ท่าเรือ โดยมีเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจยืนรักษาความปลอดภัยตลอดเส้นทางประมาณ 500 นาย
    อย่างไรก็ตาม ระหว่างนั่งเรือมีประชาชนบอกขอให้นายกฯ อยู่นานๆ โดยนายกฯ ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า "พูดแบบนี้เดี๋ยวจะหาว่าผมมาการเมืองอีก แต่ยังไงก็จะทำให้ทุกคนมีความสุข" ทั้งนี้ พอเรือวิ่งผ่านบริเวณทำเนียบรัฐบาล นายกฯ ได้กล่าวว่า “พอใกล้ทำเนียบฯ แล้วรู้สึกร้อนๆ ความดันขึ้นเลย ส่วนสะพานมัฆวานฯ ถือเป็นสะพานประวัติศาสตร์ สะพานแห่งการเมือง และสะพานของม็อบ”
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายกฯ เดินทางมาถึงท่าเรือ ได้ตรวจเยี่ยมโครงการพัฒนาจุดเชื่อมต่อการเดินทางจากคลองผดุงกรุงเกษมสู่แม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมพบปะประชาชน 200 คน โดยระหว่างทางมีประชาชนชูกระดาษที่เขียนข้อความว่า “รักน้า ท่านน่ารัก ท่านนายกตู่” พร้อมกันนี้ชาวบ้านได้นำกบมาให้นายกฯปล่อย
     ด้านนายกฯ ระบุว่า ขอให้กบทุกตัวมีชีวิตอย่างยั่งยืนจนสิ้นอายุขัย ขอให้ประเทศพ้นภัย วันนี้รัฐบาลมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วันหน้าก็จะได้มากขึ้น วันหน้าถ้าทำแบบเดิมๆ เราจะอยู่ไม่ได้ อย่าไปฟังว่าเราจะให้อะไร มิเช่นนั้นจะกลับมาเหมือนเดิม ซึ่งได้ไม่ทั่วถึง เราไม่ได้จะให้เพื่อให้คนมารัก ไม่ใช่รัฐบาลแบบนั้น การเลือกตั้งวันหน้าก็สุดแล้วแต่ว่าจะเลือกใครเป็นรัฐบาล ดูให้ดีก็แล้วกัน หากทุกคนทำตามกฎหมายบ้านเมืองก็จะสงบ ส่วนตัวไม่ได้ใจร้าย เราต้องมีจิตสำนึกประชาธิปไตย ยอมเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย 
    "ขอให้ทุกคนรักกัน อย่าเกลียดกัน ส่วนการทุจริตนั้น มีทั้งผู้ให้และผู้รับ มีปัญหามาก็ด่าเจ้าหน้าที่ ใครนึกอะไรไม่ออกก็ด่านายกฯ ผมยอม วันนี้ต้องรักกัน อย่าให้เกิดอะไรขึ้นอีก วันหน้าไม่ได้แล้ว ไปดูประชาธิปไตยมันเป็นยังไง ก็ว่ามา อย่าทะเลาะกันด้วยประชาธิปไตย ด้วยรัฐธรรมนูญอีกเลย พอแล้ว อีก 10-15 ปีข้างหน้า บ้านเมืองต้องเปลี่ยนใหม่" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว.