จากผลบังคับใช้พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) สรรพสามิต  ที่ให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตสินค้าสุราและยาสูบเพิ่มขึ้นอีก 2% ของอัตราภาษีสรรพสามิตที่เสียในปัจจุบัน เพื่อนำเงินรายได้ส่งบำรุงเข้ากองทุนผู้สูงอายุปีละไม่เกิน 4 พันล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมานั้น

            นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ ผู้อำนวยการยาสูบ เปิดเผยว่า โรงงานยาสูบได้ทำหนังสือชี้แจงถึงคู่ค้าว่าโรงงานยาสูบจะไม่ปรับขึ้นราคาบุหรี่ไทยทุกยี่ห้อและจะยอมรับภาระภาษีที่ถูกกรมสรรพสามิตเก็บเพิ่มขึ้นอีก 2% เอง ทั้งนี้ยอมรับว่า การปรับขึ้นของภาษียาสูบ เมื่อ 16 ก.ย. 2560 ส่งผลให้ยอดขายของโรงงานยาสูบลดลง โดยล่าสุดส่วนแบ่งการตลาดที่เคยลดงเหลือ 60%  จากเดิมที่เคยมีส่วนแบ่งการตลาดที่ระดับกว่า 80%  ขณะนี้เริ่มปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 60-70%             

           นายเจอรัลด์ มาร์โกลีส กรรมการผู้จัดการใหญ่ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายบุหรี่รายใหญ่สุดในประเทศ เปิดเผยว่า ราคาบุหรี่ของบริษัททั้ง 23 ชนิด ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะมีภาระทางภาษีเพิ่มขึ้นอีก 2% จากการสมทบเข้ากองทุนผู้สูงอายุ แต่ยอมรับว่าขณะนี้ตลาดบุหรี่กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ จากการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตและการเก็บภาษีเพิ่ม ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดผลกระทบกับทุกบริษัท แต่สิ่งที่สำคัญคือผู้ผลิตในประเทศและผู้นำเข้าควรที่จะได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันภายใต้กฎกติกาเดียวกัน

         นอกจากนี้ยังเห็นว่า กรมสรรพสามิตยังไม่ควรปรับระบบภาษีสรรพสามิตบุหรี่อีกในตอนนี้ เนื่องจากกรมสรรพสามิตเองก็เพิ่งประกาศตัวเลขรายได้การจัดเก็บภาษียาสูบล่าสุดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาที่จัดเก็บได้เกินเป้าหมาย ซึ่งสะท้อนว่าตลาดบุหรี่กำลังเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว           

            รายงานข่าวแจ้งว่า บริษัท ลีดอน ดิสทรีบิวชั่น (ประเทศไทย)  ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรายใหญ่ของประเทศได้แจ้งต่อร้านสะดวกรายใหญ่ รวมถึงร้านโชห่วยขอปรับขึ้นราคาขายปลีกบุหรี่ 5 รายการ โดยรายการราคาขายปลีก 58 บาท ปรับขึ้นเป็น 60 บาท และรายการราคา 99 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 100 บาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค.เป็นต้นไป โดยให้สาเหตุเนื่องจากกรมสรรพสามิตได้มีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมเพื่อสูงอายุ จึงส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนสูงมากขึ้น.