นายกฯ สั่งกู้ภาพท่องเที่ยวฟัน จนท.เรียกผลประโยชน์ ห้ามรับทิปอำนวยความสะดวกเด็ดขาด เฉ่งคมนาคมไปหาคำตอบรถแดงปะทะแกร็บคาร์ ขณะที่ "กกร." หนุนรัฐบาลออกมาตรการดับเบิลเอ็นทรีวีซ่า เร่งสร้างความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวจีน หลังยอดนักท่องเที่ยวจีนมาไทยลดวูบร้อยละ 11.8
เมื่อวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงปัญหาภาพลักษณ์การท่องเที่ยวกรณีที่มีการเรียกรับสินบน เพื่ออำนวยความสะดวกเข้าประเทศ และการปรากฏคลิปทะเลาะกันระหว่างรถแดงกับแกร็บคาร์ที่ จ.เชียงใหม่ ที่ยังเกิดขึ้นซ้ำซากว่า ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวก็เป็นปัญหาทั้งสองฝ่ายด้วยกัน ต้องแก้ไขทั้งสองทาง ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและในส่วนของประชาชนเจ้าของบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพที่แพร่กระจายในโซเชียลมีเดีย บางทีมันก็เป็นผลกระทบสำคัญเหมือนกัน
"แต่อยากเรียนว่า การท่องเที่ยวในวันนี้ยังคงสภาพเดิมอยู่ ถึงแม้จะลดลงก็ไม่มากนัก ด้วยปัจจัยความไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย ภัยพิบัติลมฟ้าอากาศต่างๆ ก็เป็นธรรมดาของเรื่องการท่องเที่ยว รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจภายในประเทศของบรรดานักท่องเที่ยวจะมีผลต่อการท่องเที่ยวทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือภาพลักษณ์ของเราที่ต้องดำเนินการ เรื่องนี้ได้สั่งการให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคง รองนายกฯ ได้สั่งการให้มีการลงโทษ ไล่ออก พักราชการต่างๆ จะต้องทำให้เกิดความจริงจังมากยิ่งขึ้น"
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในส่วนที่ต้องแยกออกจากกันคือเรื่องของวีซ่าต่างๆ การถ่ายรูปต่างๆ ทาง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบ.ตม.คนใหม่ ได้ไปแก้ไขเหล่านี้แล้ว จะต้องไม่มีการเรียกรับทิป จะต้องไม่มีอีกทั้งสิ้นโดยเด็ดขาด ตนสั่งการไปแล้วว่าโทษถึงขั้นออกจากราชการหรือพักงานหรือวินัยต่างๆ ปัญหามันยังคงมีอยู่ เพราะคนไม่ดีก็มีอยู่ ควรต้องแก้ไขให้ได้ ส่วนกรณีของรถแดงวีเอสแกร็บคาร์ที่ จ.เชียงใหม่ ก็ไปแก้ไขให้ได้ มันต้องก็แก้สองอย่าง เจ้าหน้าที่เองถ้าถามว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ผิดไม่ผิดก็ไปว่ากันอีกที กระทรวงคมนาคมต้องไปหาคำตอบมาว่ามันผิดหรือไม่ผิด แต่ในส่วนภาพลักษณ์การล้อมข่มขู่นักท่องเที่ยว มันไม่ถูกต้อง ขอให้ประชาชนช่วยกันด้วย
วันเดียวกัน นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการสภาหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า กกร.ได้มีการหารือถึงสถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยลดลง โดยเฉพาะในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงร้อยละ 11.8 มีจำนวน 870,000 คน จากเดือนกรกฎาคม ที่มีจำนวน 930,000 คน เหตุจากเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต และสภาพเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลงปัญหาจากสงครามการค้า แต่ยังเชื่อว่าทั้งปีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาไทยจะถึง 10 ล้านคนตามเป้าหมาย เพราะ 8 เดือนแรกนักท่องเที่ยวจีนมาไทยอยู่ที่ 7.73 ล้านคน หรือขยายตัวร้อยละ 16.5 ซึ่ง กกร.สนับสนุนให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงการต่างประเทศ ประสานงานไปยังประเทศจีน เพื่อทำความเข้าใจทั้งเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต, คลิป รปภ.ทำร้ายนักท่องเที่ยวจีน และปัญหาการเก็บค่าต๋ง ซึ่งต้องหาข้อเท็จจริงโดยเร็ว และสนับสนุนมาตรการดับเบิลเอ็นทรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีน หรือการยื่นขอวีซ่าเข้าไทย 1 ครั้งเดินทางได้ 2 ครั้ง เพื่อกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีนกลับคืนมา เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นกระทบกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเป็นกรุ๊ปทัวร์มากกว่านักท่องเที่ยวเดินทางมาด้วยตัวเอง และที่สำคัญ นักท่องเที่ยวจีนมีการใช้จ่ายต่อหัวสูงที่สุดเฉลี่ย 5หมื่นบาทต่อคน เพราะนิยมพักโรงแรม 5 ดาว
อย่างไรก็ตาม การที่กรมสรรพากรประกาศให้มีจุดคืนภาษีมูลเพิ่ม (Down Town VAT Refund) 3 แห่ง จะเพิ่มความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ และส่งผลให้มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นผลดีต่อภาพรวมการท่องเที่ยว
นายปิ่นสาย สุรัสวดี ผู้อำนวยการกองวิชาการแผนภาษี และรองโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า การคัดเลือกให้ผู้ประกอบการให้เป็นผู้คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีแวต) ให้กับนักท่องเที่ยว จากที่มีผู้สมัครเข้ามา 3 บริษัท และผ่านคุณสมบัติเพียง 1 แห่ง คือ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด ให้เป็นผู้คืนภาษีแวตให้กับนักท่องเที่ยว ผ่านบริการที่สาขาเซเว่นลิโด้ สาขาเซเว่นแบงค็อกไนท์บาร์ซาร์ และสาขาเซเว่นเยาวราช ซึ่งการพิจารณาเป็นไปด้วยความโปร่งใส
สำหรับคุณสมบัติผู้สมัครที่สำคัญ ได้แก่ เป็นผู้ประกอบการไทยมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 25 ล้านบาท เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีแวต เป็นผู้ประกอบการที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิชัดเจนว่ามีการดำเนินธุรกิจเพื่อเป็นตัวแทนการขอคืนภาษีให้กับนักท่องเที่ยว สามารถคืนภาษีแวตให้นักท่องเที่ยวในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ มีระบบไอทีที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบของกรมสรรพากร และที่สำคัญอีกประการคืนต้องเสนอจุดที่คืนภาษีให้กับนักท่องเที่ยวไม่เกิน 3 จุด
ทั้งนี้ กรมสรรพากรจะพิจารณาตามเงื่อนไขเบื้องต้น พบว่ามี 2 บริษัท ขาดคุณสมบัติ โดยบริษัทแห่งหนึ่งไม่ได้มีการระบุว่ามีการดำเนินธุรกิจเป็นตัวแทนคืนภาษีให้กับนักท่องเที่ยวไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ ส่วนอีกหนึ่งบริษัทเสนอจุดคืนภาษีมา 5 จุด ซึ่งเกินกว่าเงื่อนไขที่กำหนดไว้ต้องเสนอมาไม่เกิน 3 จุด
สำหรับผู้ที่ผ่านมาคัดเลือกก็จะเริ่มให้บริการในระยะทดลอง 6 เดือน เริ่ม 1 ต.ค.2561 ถึง 31 มี.ค.2562 หลังจากนั้นจะมีการประเมินผลทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณใน 4 ด้าน มูลค่าเงินที่หมุนกลับเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ การเจริญเติบโตของยอดขายสินค้า ปริมาณนักท่องเที่ยวที่ขอคืนภาษีแวตลดลงในสนามบิน และคุณภาพบริการ มาทำการศึกษาขอนโยบายทางกระทรวงการคลังต่อไปว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร
"กรมสรรพากรมีการประกาศเกณฑ์รับสมัครชัดเจน มีการซักซ้อมทำความเข้าใจกับผู้สมัคร และพิจารณาบนพื้นฐานเอกสารที่ผู้สมัครยื่นมา ไม่ได้มีการเลือกปฏิบัติ โดยกระบวนการโปร่งใสตรวจสอบได้ โดยหลังจากนี้จะไม่มีการเปิดรับผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มอีกแล้ว เพราะนี่เป็นโครงการทดลอง ที่ต้องตรวจสอบระบบให้แน่ใจว่ามีการคืนภาษีและนำสินค้าออกจากประเทศไปจริง" นายปิ่นสายกล่าว
นายปิ่นสายกล่าวว่า กรมสรรพากรกำหนดให้นักท่องเที่ยวขอคืนภาษีแวตจากทั้ง 3 จุด ที่ผ่านการอนุมัติ ต้องเป็นการซื้อสินค้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และขอคืนภาษีได้ไม่เกิน 1.2 หมื่นบาท หรือคิดเป็นมูลค่าสินค้าประมาณ 2 แสนบาท ต่อเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทยหนึ่งครั้ง ส่วนการขอคืนขั้นต่ำถูกกำหนดไว้ในการขอคืนภาษีแวตของนักท่องเที่ยวอยู่แล้วว่าต้องซื้อสินค้าไม่ต่ำกว่า 2,000 บาทต่อร้านต่อวัน
ขณะที่การนำสินค้าออกนอกประเทศ ก็ยังต้องดำเนินการปกติต้องแสดงสินค้าให้ตรวจที่สนามบินที่มีมูลค่าเกิน 1 หมื่นบาท ไม่รวมภาษีแวต ประเภทสินค้าที่ต้องแสดงได้แก่ อัญมณี ทองรูปพรรณ นาฬิกา แว่นตา ปากกา โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์แบบพกพา กระเป๋า เข็มขัด
สำหรับในปีงบประมาณ 2561 มีนักท่องเที่ยวมาขอคืนภาษีแวต 2.5 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 54% มูลค่าสินค้า 4.8 หมื่นล้านบาท เป็นมูลค่าภาษีแวตที่ขอคืน 2.5 พันล้านบาท.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |