“ประยุทธ์” ผวา! เสียงติฉิน ลงพื้นที่ตรวจราชการลำพูนไม่หนีบ 4 รัฐมนตรี พปชร.ไปด้วย “วิษณุ” เชื่อไม่ทำอะไรผิดพลาดแน่เพราะรู้ถูกเอกซเรย์อยู่ เผย ครม.สัญจรยังทำได้ต่อเนื่องแม้มี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง “สมคิด” บอกถือเป็นมิติการเมืองใหม่! สนธิรัตน์ลั่นไม่ไขก๊อก ไม่ต้องคาดคั้น ย้อนใส่ถึงเวลาทำดีกว่ายุคอดีต “มาร์ค” อัดแรงเลี่ยงเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ “ศรีธนญชัย” ไร้ธรรมาภิบาล “อนาคตใหม่” ประกาศนโยบาย 3 ป. “กำนันเทือก” เดินสายหาสมาชิกประเดิมตลาดปัฐวิกรณ์
เมื่อวันจันทร์ มีการแจ้งกำหนดการตรวจราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในวันที่ 3 ตุลาคมนี้ที่จังหวัดลำพูน ซึ่งถือเป็นการลงพื้นที่หลัง พล.อ.ประยุทธ์ประกาศท่าทีว่าสนใจการเมือง
ทั้งนี้ น่าสนใจว่าคณะที่ลงพื้นที่กับ พล.อ.ประยุทธ์ครั้งนี้ ไม่มีรายชื่อของ 4 รัฐมนตรีที่ไปประกาศทำงานทางการเมืองร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ทั้งนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม ว่าที่หัวหน้าพรรค พปชร., นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ ว่าที่เลขาธิการพรรค, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ว่าที่รองหัวหน้าพรรค และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกฯ ว่าที่โฆษกพรรค ซึ่งปกติการลงพื้นที่ทุกครั้งจะมี 4 รัฐมนตรีนี้เข้าร่วมแทบทุกครั้ง
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงกรณี 4 รัฐมนตรีเข้าไปทำงานการเมืองกับพรรคพลังประชารัฐว่า เคยชี้แจงต่อที่ประชุม ครม.แล้วว่าหากใครไปร่วมทำงานกับพรรคการเมืองต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ซึ่งรัฐมนตรีสามารถไปทำงานการเมืองนอกเวลาราชการได้ ถือเป็นสิทธิเสรีภาพที่มีอยู่ แต่ต้องดูทั้งด้านกฎหมายและความเหมาะสม ซึ่งเจ้าตัวและนายกฯ ต้องพิจารณาว่ากระทบต่อการทำงานรัฐบาลหรือไม่ และต้องไม่นำบุคลากร ทรัพย์สิน และงบประมาณของราชการมาใช้ประโยชน์ทางการเมือง
“หากพบความผิด ไม่จำเป็นต้องรอให้สื่อหรือใครมาขุดคุ้ย เพราะเมื่อทำผิดจะเกิดเรื่องขึ้นอยู่แล้ว โดยรัฐมนตรีทุกยุคสมัยทราบกฎเกณฑ์เหล่านี้ดี นักการเมืองทุกยุคทุกสมัยทราบดีว่าถูกเอกซเรย์ ไม่มีใครประมาทพลาดพลั้ง นอกจากตั้งใจทำผิด เพราะถ้าเกิดพลาดพลั้งมาจะถูกเล่นงาน ผิดกฎหมาย” นายวิษณุระบุ
เมื่อถามว่า พรรคการเมืองมองว่า 4 รัฐมนตรีได้เปรียบเพราะเป็นคนในรัฐบาล นายวิษณุระบุว่าจะให้ทั้ง 4 คนหยุดทำงานคงไม่ได้ แต่ 4 รัฐมนตรีไม่ได้ลงรับเลือกตั้งเอง ต่างจากรัฐบาลของพรรคการเมืองที่ผ่านมา ที่หัวหน้ารัฐบาลและแกนนำรัฐบาลลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยตัวเอง แม้พรรคการเมืองจะมองว่าวันนี้รัฐบาลมีการล็อกพรรคการเมืองไว้ แต่เป็นการล็อกทุกฝ่าย ซึ่งเมื่อเปิดก็เปิดให้ทั้งหมด
“ไม่ห่วง 4 รัฐมนตรีหรือพรรคพลังประชารัฐ แต่ที่เป็นห่วงคือเรื่องการแสดงออกของพรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะพรรคเล็กๆ พรรคน้อยๆ เพราะอาจไม่มีประสบการณ์หรือพยายามท้าทาย ซึ่งต้องระมัดระวัง เพราะทุกวันนี้มีคนเก็บทุกเม็ด ป้องกันความผิดพลาดจึงจะดีที่สุด เช่นเมื่อให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไม่ควรพลาดไปตกหลุมพราง” นายวิษณุระบุ
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ กล่าวเรื่องนี้ว่า นายกฯ ได้แสดงความห่วงใยไปแล้ว ส่วน 4 รัฐมนตรีจะต้องระมัดระวังในการทำหน้าที่เพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น เห็นว่าต้องดูที่ตัวบทกฎหมายและคิดว่าทุกคนอย่าไปคิดเอาเองว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด ให้ไปดูว่าทั้งหมดทำถูกกฎหมายหรือไม่ สิ่งนี้น่าจะเป็นตัวชี้วัดได้ดีที่สุด
ครม.สัญจรยังมีต่อ
นายวิษณุยังกล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ภายหลังมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้งว่า ครม.มี 36 คน เวลานี้ไปเกี่ยวพันพรรคการเมือง 4 คน เหลือ 32 คนยังสัญจรได้ตามปกติหากจำเป็น ซึ่งตามปฏิทินแล้วยังเตรียมประชุม ครม.สัญจรอยู่ ส่วนเรื่องเหมาะสมหรือไม่นั้น รัฐบาลมีความเหมาะสมที่ยิ่งใหญ่กว่าคือบริหารราชการแผ่นดิน แก้ไขปัญหาตามนโยบายรัฐและโรดแมป มิเช่นนั้นประเทศจะหยุดชะงักเป็นเป็ดง่อยทำอะไรไม่ได้ เชื่อว่าไม่มีใครต้องการเห็นสภาพเช่นนั้น
นายวิษณุยังกล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองระบุว่าการหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่มีความชัดเจนว่า ทราบเรื่องแล้ว หลังจากนี้จะหารือกับ กกต.ถึงเรื่องที่ตอบพรรคการเมืองไม่ได้ หรืออะไรที่ไม่แน่ใจ รวมถึงอะไรที่ตอบได้แต่พรรคการเมืองไม่เชื่อ ซึ่งเมื่อคุยกับ กกต.เรียบร้อยแล้ว ถึงจะกำหนดวันที่หัวหน้า คสช.จะหารือกับพรรคการเมืองต่อไป
ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ แถลงเปิดใจกรณีพรรคการเมืองต่างๆ กดดันให้ 4 รัฐมนตรีลาออกหลังไปทำงานกับพรรค พปชร.ว่า รัฐมนตรีทั้ง 4 คนถือเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ เมื่อทั้ง 4 คนต้องการทำงานการเมือง หวังทำให้การเมืองไทยดีขึ้น เราจึงควรสนับสนุนเพื่อเป็นตัวอย่างต่อคนรุ่นหลัง ส่วนที่มีเสียงวิจารณ์ว่าทั้ง 4 คนจะใช้ตำแหน่งหน้าที่หาประโยชน์หรือเอาเปรียบพรรคอื่นๆ นั้น ทั้ง 4 คนยืนยันชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่ตรวจสอบได้ มีกฎหมายรองรับ หากทำอะไรไม่ถูกต้องก็เป็นความเสี่ยง แต่ถ้ากฎหมายไม่ห้ามแสดงว่าไม่ผิด ขอให้ติดตามดู และขอให้รอเวลาที่เหมาะสมแล้วทั้ง 4 คนจะลาออก
“ช่วงนี้เขาต้องทำงานเต็มที่ จะให้ลาออกตอนนี้ ผมคิดว่าหลายโครงการที่เราวางไว้สำคัญมากต่อประเทศในอนาคต จะละทิ้งได้ยังไง เวลานี้ให้เขาทำงานเต็มที่ เขาแยกออกอยู่แล้ว ส่วนนอกเวลาราชการก็แล้วแต่เขา นี่เป็นมิติใหม่ของการเมืองไทยที่มีคนคุณภาพอย่างนี้เข้ามา ไม่ใช่แค่อายุน้อยๆ เข้ามาแล้วเฮฮากัน เขาเข้ามาทำงานจริงจัง เมื่อไม่ได้ทำอะไรผิด กฎหมายไม่ได้ห้าม ก็น่าต้องติดตามตรวจสอบเขาดู” นายสมคิดกล่าว
เมื่อถามว่าวางตัวเป็นกุนซือของพรรค พปชร.หรือไม่ นายสมคิดยืนยันว่าไม่ใช่กุนซือ เป็นอาจารย์ ใครคิดว่าใช้ประโยชน์ได้ ก็พยายามทำให้บ้านเมืองไปเท่าที่จะมีแรง ทำมาตั้งแต่หนุ่ม ตอนนี้แก่แล้ว และเมื่อถามว่าหากพรรค พปชร.เสนอให้เป็นหนึ่งในบัญชีเป็นนายกฯ จะรับหรือไม่ นายสมคิดตอบทันทีว่า "อย่าไปจินตนาการเลยนะ เป็นเรื่องของอนาคต"
ส่วนนายสนธิรัตน์กล่าวว่า การที่ตัดสินใจเข้าสู่การเมืองเป็นการตัดสินใจที่ลำบากอย่างยิ่ง แต่จะขอสานต่องานของกระทรวงพาณิชย์ในช่วงเวลาที่เหลืออีกไม่มากให้เสร็จสิ้นในช่วงอยู่ในตำแหน่ง โดยแม้เข้าสู่การเมืองแต่ไม่คิดแบบนักการเมือง คิดถึงสิ่งที่ต้องทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ หากว่าได้สานงานต่อให้สำเร็จ ก็จะทำให้งานไปสู่เป้าหมายได้มากที่สุดตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้
“การลาออกเป็นเรื่องง่าย แต่ประโยชน์การลาออกในช่วงนี้คืออะไร ในฐานะผู้บริหารก็ต้องคิด อย่าเล่นแต่การเมือง แน่นอนว่าการเมืองก็ต้องกดดันให้ออก ซึ่งพูดกันทุกครั้ง ก็ขอให้ไปดูในอดีตกลุ่มการเมืองต่างๆ ในอดีตดำเนินการอย่างไร ยืนยันว่าจะทำดีกว่าในอดีต อย่าคาดคั้นมาก เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เราจะทำดีกว่าความคาดหวังของหลายคน ผมตอบได้แค่นี้ ขอให้สบายใจ ไม่ได้ดื้อหรือดึงดัน ส่วนสิ่งที่กังวลว่าผมจะใช้ตำแหน่งเพื่อประโยชน์ต่อการหาเสียง ก็ขอให้ตามไปดูการทำงานของผม"
มาร์คอัด 4 รัฐมนตรี
ซีกนักการเมืองอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวเรื่องนี้ว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับพรรค พปชร. คือกำลังหลบเลี่ยงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งความเสื่อมทางการเมืองและปัญหาวิกฤติในอดีต ก็เป็นเพราะการหาช่องโหว่ของกฎหมาย เราไม่ดูเจตนารมณ์ ไม่ยึดถือเรื่องของมารยาทและธรรมาภิบาล ดังนั้นวันนี้คนที่เกี่ยวข้องที่จะเข้าไปบริหารพรรคการเมือง ซึ่งมีส่วนได้เสียในการเลือกตั้งโดยตรง ก็ต้องแสดงให้เห็นว่ายังเชื่อในหลักธรรมาภิบาล หรือเคารพในเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มากกว่าที่จะบอกว่ากฎหมายไม่ได้ห้ามไว้หรือไม่ผิดกฎหมาย
“เรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยังไม่ปลดล็อกทางการเมือง แต่งานของรัฐบาลมีงานการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่ได้ถูกจำกัดด้วย ดังนั้นผมว่าตอบยากจริงๆ ว่าบุคคลเหล่านี้ต้องการมีส่วนได้เสียในการแข่งขัน เหตุใดจึงไม่ทำตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ แล้วสวมหมวกสองใบ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ และพฤติกรรมในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะในอดีตรัฐมนตรีที่รักษาการระหว่างเลือกตั้งยังสามารถทำหน้าที่ได้ แต่จะมีข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญที่ไม่สามารถดำเนินการบางอย่างได้
นายคารม พลพรกลาง ทนายความแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งได้มาสมัครสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวว่า รัฐบาลอยู่ในสถานะได้เปรียบทุกประตู การไม่ลาออกถือว่าใจไม่ถึง จะเป็นแค่นักการเมืองพาร์ตไทม์หรือไม่ เป็นการเอาเปรียบประชาชน สถานะความเป็นรัฐมนตรีกับผู้สมัครจากพรรคการเมืองจะแบ่งกันอย่างไร จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาไม่ให้มีผลประโยชน์ทับซ้อนกัน
สำหรับความเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้น ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร อดีต ส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชาชน อนุกรรมการที่ปรึกษายุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวว่าได้สมัครเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรค พปชร.แล้ว หลังจากนี้จะทยอยนำทีมงาน จ.สระบุรีเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรค
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกกลุ่มสามมิตร กล่าวถึงกระแสข่าวกลุ่มสามมิตรกับพรรค พปชร.กำลังเกิดปัญหา โดยเฉพาะการทาบทามผู้สมัครลงพื้นที่ทับซ้อนกันว่า คนวิจารณ์พูดอะไรไม่ได้ดูข้อเท็จจริง กลุ่มสามมิตรยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าสังกัดพรรคการเมืองใดด้วยซ้ำ ถ้าอยากรู้ทิศทางของกลุ่มให้รอฟังนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตรประกาศด้วยตัวเองจะดีกว่า
ส่วนที่ทำการพรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายพงศ์พันธ์ สุนทรชัย อดีต ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคก่อนที่พรรคจะประชุมใหญ่ในวันที่ 2 ต.ค.นี้
ขณะที่อาคารไทยซัมมิท ที่ทำการชั่วคราวพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) นายคารมนำคณะมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค โดยระบุว่าได้สอบถามนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้า อนค.ว่าตั้งใจมาทำงานการเมืองแบบสั้นหรือยาว ซึ่งได้รับคำตอบว่าแบบยาว เลยตัดสินใจมาร่วมงานด้วย แม้ในอดีตเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่ทนายความคนเสื้อแดง รู้จักแกนนำ นปช. อดีต ส.ส.เพื่อไทยหลายคน แต่ในทางการเมืองยืนยันจะไม่มีการซูเอี๋ยหรือเป็นนอมินีเพื่อไทยแน่นอน
โอ่ปักธงอีสาน!
“มั่นใจสามารถปักธงพื้นที่อีสานได้แน่นอน ในเมื่อเคยขอโอกาสจากพรรคเพื่อไทยแล้วไม่เคยได้ จึงขอออกมาสร้างทีมร้อยเอ็ดและภาคอีสาน มั่นใจเราจะปักธงในอีสานให้พรรคอนาคตใหม่ได้แน่นอน”
ที่ทำการพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) ถนนสุโขทัย มีการประชุมกรรมการบริหารพรรค โดยมี นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรค ชพน.แถลงหลังประชุมว่า ได้กำหนดประชุมใหญ่วันที่ 5 ต.ค.ที่โรงแรมซิตี้พาร์ค ต.ในเมือง อ.เมืองนครราชสีมา เวลา 10.00 น. จากนั้นจะเปิดรับสมาชิกพรรคตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.เป็นต้นไป
นายวราวุธ ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวว่า การประชุมใหญ่ของพรรคจะเลื่อนจากกำหนดเดิมวันที่ 5 ต.ค.ไปเป็นวันที่ 24 ต.ค.เพื่อให้เกิดความรอบคอบและไม่มีปัญหาภายหลัง เพราะมีข้อบังคับหลายข้อที่ต้องแก้ไขให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่
วันเดียวกัน ที่ห้องประชุมวิวัฒนไชย อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ พรรคอนาคตใหม่ได้ประกาศวิสัยทัศน์ในหัวข้อ “อนาคตใหม่ ไทย 2 เท่า” โดยนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคยืนยันว่า พรรคจะทำงานการเมืองในระยะยาว ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ และเมื่อมีการเลือกตั้งจะส่งผู้สมัครครบทั้ง 350 เขต ซึ่งพรรคไม่ใช่สถานที่ที่ทำให้คนเป็น ส.ส.หรือรัฐมนตรีเท่านั้น แต่คือหน่วยทางการเมืองที่ทำงานการเมืองตามกระบวนการ ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าของสังคม โดยมีสมาชิกทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน ผ่านการระดมทุนและการตัดสินใจ
“เราจะเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อจัดกิจกรรมระดมทุน เมื่อเงินของพรรคมาจากทุกคน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารและสมาชิกพรรคจะไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของผู้ให้กับผู้รับ ไม่ใช่เจ้านายกับลูกน้อง แต่ทุกคนจะเป็นผู้บริหารพรรคร่วมกัน โดยเงินที่ได้จากการระดมทุน รายรับรายจ่ายของพรรคจะนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะทุก 3 เดือน เพื่อสร้างความโปร่งใสและเปิดโอกาสให้สังคมตรวจสอบได้” นายปิยบุตรกล่าว
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายพรรคกล่าวว่า กรอบนโยบายเบื้องต้นของพรรค ประกอบด้วย 3 ป. ได้แก่ 1.ปลดล็อก พรรคอนาคตใหม่จะปลดล็อกโครงสร้างกฎหมายและธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการปลดปล่อยศักยภาพมนุษย์ 2.เปิดโอกาส พรรคจะเปิดโอกาสให้คนทุกคนพัฒนาตัวเอง แสดงศักยภาพทำให้ประเทศไทยก้าวสู่เศรษฐกิจใหม่ และ 3.ปรับโครงสร้าง พรรคจะปรับโครงสร้างที่ดำรงอยู่อย่างไม่เป็นธรรม ไม่ได้ดุลยภาพ และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ
ส่วนนายธนาธรกล่าวว่า เราอยากเห็นคนไทยเท่าเทียมกัน ประเทศไทยเท่าทันโลก ซึ่งคำว่าเท่าเทียมกันและเท่าทันโลก ทั้ง 2 อย่างนี้ต้องไปด้วยกัน โดย 3 เดือนจากนี้ทุกคนจะได้เห็นนโยบายแต่ละด้านของพรรคที่เชื่อมโยงกัน ด้วยหลักการเท่าเทียมกันและเท่าทันโลก ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ด้านเกษตรก้าวหน้า การยกระดับการศึกษา นี่คืออนาคตใหม่ไทย 2 เท่า
ขณะที่ตลาดปัฐวิกรณ์ เขตบึงกุ่ม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) พร้อมคณะกรรมการบริหารชั่วคราว ตั้งจุดลงทะเบียนผู้ประสงค์แสดงเจตจำนงเป็นสมาชิกพรรค โดยมีการแจกใบแสดงจำนงพร้อมรับชำระเงินค่าบำรุงพรรค โดยออกใบเสร็จชั่วคราวให้แก่ประชาชน และเมื่อสำนักงาน กกต.รับรองการเป็นพรรคแล้ว ให้นำใบเสร็จดังกล่าวมายืนยันสมาชิกภาพอีกครั้ง
นายสุเทพกล่าวว่า จากการชุมนุมมวลมหาประชาชนเรามีข้อเรียกร้องให้ทำการปฏิรูปประเทศ ซึ่งรัฐบาลทำไปบ้างแล้ว แต่มีหลายส่วนทำไม่เสร็จและต้องทำต่อเนื่อง ซึ่งต่อจากนี้จะมีการเลือกตั้ง ทำให้พี่น้องกังวลว่าหากไม่ทำการปฏิรูปจะทำอย่างไร เพราะส่วนหนึ่งของนักการเมืองแสดงอาการหลายอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ ดังนั้นสิ่งที่ได้ร่วมกันต่อสู้มาก็อาจกลายเป็นเจ็บเปล่า เหนื่อยเปล่า ฉะนั้นจึงได้ปรึกษาหารือกันจนได้ข้อสรุปว่าถึงเวลาที่ประชาชนคนธรรมดาจะตั้งพรรค
"เราจะรวมพลัง แต่ไม่ต้องออกไปตากแดดสู้ คราวนี้เราสู้ในที่ร่ม โดยตั้งพรรค รปช. เลือกคนที่ไว้วางใจลงเลือกตั้ง ต่อสู้แทนเรา และขอแอบกระซิบว่า รปช.ได้เป็นรัฐบาลแน่ เพราะพรรคเรามีประชาชนเป็นล้านๆ คน ดังนั้นใครก็อยากคบและอยากให้เราเป็นพรรคร่วม ประกาศไว้เลย ผมขอเป็นลุงกำนันแก่ๆ ช่วยพรรคเท่านั้น ไม่ขอมีตำแหน่งใดๆ" นายสุเทพกล่าว
ส่วนที่สำนักงาน กกต. นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด ว่าที่หัวหน้าพรรคเกียน ได้เดินทางมารับหนังสือรับรองแจ้งการจัดตั้งพรรค โดยนายสมบัติได้เดินทางมาด้วยชุดไทยประยุกต์หรือชุดออเจ้า โดยระบุว่ายังไม่กำหนดการจัดประชุมผู้ร่วมจดตั้งพรรค แต่จะมีรูปแบบเป็นการประชุมแบบปาร์ตี้ ให้ทุกคนสามารถแต่งคอสเพลย์ทุกรูปแบบมาร่วมงานได้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |