นักวิชาการเปรียบคสช.คล้ายระบอบสังคมนิยมลาว


เพิ่มเพื่อน    

        28 ม.ค.2561-ผู้ช่วยศาสตราจารย์ตรีเนตร สาระพงษ์  อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เจ้าของลายเซ็นสุดพิศดาร โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คส่วนตัว ถึงโครงสร้างคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ว่ามีความ คล้ายกับระบบของพรรคในสังคมนิยม
    เขาระบุว่าในระบอบสังคมนิยมจะมีคณะกรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรค ของพรรคประชาชนปฎิวัติลาว เมื่อพิจารณาดูแล้วมีความละม้ายคล้ายคลึงกับรัฐธรรมนูญแห่ง สปป.ลาว อยู่หลายประการ ทั้งนี้เพราะการที่หัวหน้า คสช กับนายก และเป็นคนๆเดียวกัน (แต่เดิมมีตำแหน่ง ผบ.ทบ. ด้วย) ก็ทำให้ผู้เขียนคิดถึงโฉมหน้าของโครงสร้างอำนาจทางการเมืองของประเทศลาว ในระบบสังคมนิยม
    ซึ่งพัฒนาและเติบโตสั่งสมบ่มเพาะจนสุกงอมจากพรรคคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม
    และเมื่อดูในรายละเอียดซึ่งจะเจตนาหรือบังเอิญก็ไม่อาจทราบได้ เมื่อศูนย์กลางอำนาจของสถาบันการเมืองไทยละม้ายคล้ายคลึงกับสถาบันการเมืองลาวซึ่งเป็นการปกครองแบบสังคมนิยมค่อนข้างมาก
    เบื้องต้นจะขอเล่าเรื่องศูนย์กลางอำนาจลาว ให้ฟังก่อน โดยประเทศลาว หรือ สปป.ลาว ปกครองโดยหลักการนำพาประเทศ ด้วยพรรคประชาชนปฏิวัติลาว โดยรัฐธรรมนูญลาวได้กำหนดว่าให้พรรคประชาชนปฏิวัติลาวเป็นผู้ชี้นำ นำพา โดยพรรคจะเป็นผู้กำหนดแนวทาง นโยบาย และแต่งตั้งบุคคลของพรรคไปบริหารในนามรัฐบาลโดยมีการรวมศูนย์อำนาจการปกครองอยู่ที่พรรคประชาชนปฏิวัติ ซึ่งผู้มีอำนาจสูงสุดของพรรคประชาชนปฎิวัติคือ คณะกรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรค
    และแม้รัฐธรรมนูญของประเทศลาวจะกำหนดให้มีการแยกแยกองค์กรนิติบัญญัติ คือ สภาแห่งชาติ ฝ่ายบริหาร คือรัฐบาล และฝ่ายตุลาการ คือศาลประชาชน ออกจากกัน แต่รัฐธรรมนูญ และกฎหมายต่างๆ ก็ให้อำนาจพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเป็นผู้กำหนดนโยบาย รวมถึงการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญๆ ของรัฐบาลก็จะเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกับคณะกรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรคทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประธานประเทศ ก็เป็นเลขาธิการใหญ่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ก็มักจะมีตำแหน่งในคณะกรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรคประชาชนปฎิวัติด้วย 
    นอกจากนั้นตำแหน่งสำคัญไม่ว่าจะเป็นประธานศาลประชาชนสูงสุด และอัยการประชาชนสูงสุดก็มาจากการแต่งตั้งของประธานประเทศ ส่วนผู้พิพากษาและอัยการก็มาจากการแต่งตั้งของคณะประจำสภาแห่งชาติ ซึ่งคณะประจำสภาเป็นตัวแทนของฝ่ายนิติบัญญัติที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ประจำ ณ สภาแห่งชาติ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญลาว มาตรา ๕ ที่กำหนดให้ดำเนินการตามหลักการประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ (Centralization)
    กล่าวโดยสรุป สปป.ลาว มีพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเป็นพรรคกำอำนาจ เพียงแต่การปฏิบัติงานได้มีการ "แบ่งงาน" ออกเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ(the legislative) บริหาร (the executive) และตุลาการ (the judiciary) แต่ยังไม่มีการ "แบ่งอำนาจ" โดยสภาแห่งชาติซึ่งนอกจากทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติแล้ว สภาแห่งชาติยังมีอำนาจแต่งตั้งฝ่ายบริหาร กับฝ่ายตุลาการอีกด้วย เช่นนี้ จึงเห็นได้ว่าระบบการปกครองของ สปป.ลาว จึงยังมิได้มีการแยกอำนาจเป็นอิสระต่อกันเพื่อให้เกิดการตรวจสอบและถ่วงดุลแต่อย่างใด ทั้งนี้ เพราะระบบการปกครองของ สปป.ลาว ยังเป็นระบบสังคมนิยมอยู่นั่นเอง
    ครั้นเมื่อพิจารณาในส่วนของประเทศไทยก็จะเห็นได้ว่า คสช. คือผู้มีอำนาจสูงสุดผู้กำอำนาจ คล้ายๆ กับคณะกรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรคประชาชนปฎิวัติลาว และหัวหน้า คสช. ก็ได้รับตำแหน่งที่สำคัญคือนายกรัฐมนตรี คนใน คสช. เองก็ได้รับตำแหน่งสำคัญๆ ในรัฐบาล เช่นเดียวกับกรณีกรรมการของศูนย์กลางพรรคที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีที่สำคัญๆ 
    และเมื่อพิจารณาจากรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) ที่กำหนดให้คงมี คสช. ต่อไป และให้อำนาจ คสช. สั่งการคณะรัฐมนตรีได้โดยรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ต่อไป” จึงทำให้เห็นได้ว่า คสช. เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด
    จากบทบัญญัตินี้เองก็พบว่ามีการให้อำนาจแก่หัวหน้า คสช. (ซึ่งเป็นคนๆ เดียวกับนายกรัฐมนตรี)มีอำนาจสั่งการแก่คณะรัฐมนตรี ดังเช่นที่พรรคประชาชนปฎิวัติลาวที่ประธานประเทศ กับเลขาธิการพรรคเป็นคนๆ เดียวกัน และพรรคจะเป็นผู้กำหนดนโยบายต่างๆ และมีอำนาจสั่งการแก่รัฐมนตรีต่างๆได้
    อย่างไรก็ตามในส่วนของฝ่ายนิติบัญญัติเองประเทศไทยมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติอันมีที่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งส่วนนี้จะแตกต่างกับกรณีที่มาของสภาแห่งชาติของลาว ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพียงแต่ว่ารัฐธรรมนูญของลาวกำหนดให้คนที่ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ต้องเป็นสมาชิกพรรคประชาชนปฎิวัติเพียงพรรคเดียวเท่านั้น
    อย่างไรก็ตามเราก็ยังโชคดีหน่อยที่ฝ่ายตุลาการไม่ถูกแต่งตั้งจาก สนช โดยตรง(แต่ คสช.ก็มีอำนาจโยกย้ายใด้) อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลข้างต้นทำให้พอเห็นได้ว่าอำนาจต่างๆ เกือบทั้งหมดใน สปป.ลา จึงถูกผูกโยงอยู่ที่คณะกรรมการศูนย์กลางพรรคประชาชนปฎิวัติ ไม่ต่างกับประเทศไทยที่อำนาจเกือบทั้งหมดผูกโยงกับ คสช. ซึ่งแน่นอนย่อมจะก่อให้เกิด “ผลประโยชน์ที่ขัดกัน” (Conflict Interest) ไม่สอดคล้องกับหลักการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of powers) เช่นนี้ฝ่ายบริหารที่ไม่มีคุณธรรมก็อาจใช้อำนาจนอกขอบเขตของกฎหมาย แน่นอนว่าการตรวจสอบถ่วงดุล (Checks and balances) ระหว่างอำนาจ ด้วยการใช้อำนาจหยุดยั้งอำนาจ หรือใช้อำนาจตรวจสอบอำนาจ เพื่อป้องกันมิให้มีการใช้อำนาจโดยมิชอบ ตามหลักการปกครองโดยกฎหมาย (the rule of law) ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็ย่อมมีน้อยลง และมีความไกล้เคียงกับสังคมนิยมของประเทศเทศลาวไม่มากก็น้อย
    กรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ระบบการปกครองของไทยมีลักษณะคล้ายกับการปกครองของ สปป.ลาว ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบสังคมนิยมนั่นเอง.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"