2 พรรคใหญ่ดาหน้าถล่ม คสช. ไร้ความน่าเชื่อถือหลังเลื่อนเลือกตั้งเรื่อยๆ ไม่มีกำหนด "มาร์ค" จี้ต้องอธิบายกับสังคม เด็กประชาธิปัตย์ซัดแหลก "บิ๊กตู่" ตีบทแตกยิ่งกว่าดารารับรางวัลออสการ์ ระบุ
การชะลอบังคับใช้กฎหมายส่วนใหญ่เป็นกฎหมายการเงิน รัฐบาลประชาธิปไตยทั่วโลกไม่มีที่ไหนใช้กับกฎหมายการเลือกตั้ง ส่วนเพื่อไทยชี้คำพูดของ "ประยุทธ์" ล้มละลายด้านความน่าเชื่อถือไปแล้ว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา (พ.ร.ป.ส.ว.) อีกทั้งยังให้ลดกลุ่มอาชีพจาก 20 กลุ่ม เหลือเพียง 10 กลุ่ม ว่าให้ความเห็นได้ยาก เนื่องจากตั้งแต่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ยกร่างมา ก็มีความไม่ชัดเจนอยู่แล้ว ทั้งระบบการเลือกจากพื้นที่มาสู่ประเทศ และการเลือกไขว้ จึงน่าจะยากที่จะออกแบบให้ลงตัว
เขากล่าวกรณีที่ สนช.มีมติเสียงข้างมากให้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร (พ.ร.ป.ส.ส.) ออกไป 90 วัน หลังประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาว่า ตนย้ำตลอดว่าหากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องการจะเลื่อนการเลือกตั้ง ควรจะชี้แจงกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลและ คสช.เอง ส่วนกรณีที่รัฐบาลคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 นั้น เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก เพราะอาจจะเกิดเร็วกว่านั้นได้
อย่างไรก็ตาม หาก คสช.ไม่พร้อมจัดการเลือกตั้งควรอธิบายกับสังคมว่าทิศทางต่อจากนี้คืออะไร เพราะประชาชนยังรอคอยการเลือกตั้ง
"รู้สึกแปลกใจที่ คสช.ยืนยันมาตลอดว่าไม่เคยก้าวล่วงการพิจารณากฎหมายของ สนช. แต่กลับออกมาตรา 44 เพื่อแก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า หาก คสช.ต้องการให้กฎหมายออกมาทิศทางใด ก็สามารถดำเนินการได้" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยากจะเข้าใจตามที่ คสช. รัฐบาล และ สนช.ชี้แจงการขยายเวลาแบบที่ได้คืบจะเอาศอก อย่าโทษนักการเมือง ว่ากระสันอยากลงเลือกตั้ง โดยสิ่งที่เป็นตัวเร่งในทางลบต่อรัฐบาลนี้ ทำให้ลดความน่าเชื่อถือจากประชาชนคือ การพูดอย่าง ทำอย่าง ซ้ำๆ หลายครั้ง ขอให้รัฐบาลพูดความจริงออกมาตรงๆ จะเลื่อนไปกี่วัน และอย่างไร ถ้ามัวโกหกรายวันจะมีแต่ผลลบ
"ตัวเร่งสำคัญคือปากท้องของพี่น้องประชาชน คนจนจะอดตายกันทั้งประเทศ ทั้งยางพารา พืชผลทางการเกษตรกำลังเป็นปัจจัยลบต่อรัฐบาลนี้อย่างรุนแรง และหยุดโทษนักการเมือง อย่าโทษรัฐบาลก่อน ต้องโทษรัฐบาลนี้ และโทษตัวเองที่ไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้พี่น้องอยู่ดีกินดีได้ จึงต้องเปิดเผยความจริงออกมา ว่ารัฐบาลต้องการอะไรกันแน่ พูดอย่างทำอย่างแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น" นายวิรัตน์กล่าว
ซัด"บิ๊กตู่"ตีบทแตก
นายวิรัช ร่มเย็น อดีต ส.ส.ระนองและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถึงเวลานี้ต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ตีบทแตกยิ่งกว่าดารารับรางวัลออสการ์ บริหารอำนาจมา 4 ปี เล่นการเมืองแบบตีเนียน ถามว่าออกข่าวนี้ผ่านสื่อไปแล้วสังคมไทย สังคมโลกจะเชื่อคำพูดที่สวนทางกับการกระทำเช่นนั้นหรือ เพราะครั้งแรก คสช.ระบุเองว่าตามโรดแมปจะให้มีการเลือกตั้งปี 2559 และเลื่อนมาเป็นปี 2560 จากนั้นก็ประกาศยืนยันทั้งในเวทีโลกและสังคมไทยว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือน พ.ย.2561
กระทั่งล่าสุด มีการปรับแผนให้ สนช.ใช้อภินิหารทางกฎหมาย โดยเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้งออกไปอีก 90 วันนับแต่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งสอดคล้องกับการยอมรับของผู้มีอำนาจตัวจริงในรัฐบาล คสช.อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม โดยมีการอธิบายเหตุผลรับรองจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายว่าทำได้
เขากล่าวว่า ในวงการกฎหมายต่างทราบดีว่า การชะลอบังคับใช้กฎหมายส่วนใหญ่จะใช้กับกฎหมายการเงิน รัฐบาลประชาธิปไตยทั่วโลกไม่มีที่ไหนใช้กับกฎหมายการเลือกตั้ง ถึงเวลานี้นายกฯประยุทธ์ยังกล้าเล่นปาหี่แสดงละครตบตาสังคมไทยว่าไม่รู้ ไม่เห็น แต่น่าแปลกที่ว่ากลับยอมรับว่าเมื่อฝ่ายนิติบัญญัติตรากฎหมายออกมาแล้ว ก็ต้องยึดตามนั้น
"จะปฏิเสธอย่างไรก็คงไม่พ้นตัว เพราะตัวท่านคือต้นน้ำหรือตาน้ำของแม่น้ำห้าสายที่จะควบคุมให้แต่ละสายได้ทั้งองคาพยพ จึงขอให้ประกาศให้ชัดว่า เลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อใด ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อระบบเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และสร้างภาพลักษณ์ดึงความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย ไม่ใช่เป็นโรดแมปยืดได้หดได้เช่นที่มา" นายวิรัชกล่าว
ส่วนสมาชิกพรรคเพื่อไทยต่างวิจารณ์ประเด็นนี้อย่างรุนแรงเช่นกัน นายวัฒนา เมืองสุข สมาชิกพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “หลอกใคร” ระบุว่า พลเอกประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ที่ประเทศอินเดีย กรณี สนช. ลงมติขยายระยะเวลาบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ว่า “เป็นเรื่องของ สนช. ที่ตนไม่สามารถก้าวล่วงได้ แต่ตนพร้อมที่จะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และหลักการทุกประการตามขั้นตอนของกฎหมาย” พลเอกประยุทธ์คงต้องการสื่อให้สหภาพยุโรปและสหรัฐที่ตนไปสัญญาว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งภายในปี 2561 เชื่อว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ สนช. เพราะอยู่ต่างประเทศ คงคิดว่ามหาอำนาจมีระดับสติปัญญาเท่ากับตัวเองและคนที่สนับสนุนให้ตนออกมายึดอำนาจ
ตามข้อเท็จจริง กฎหมายพรรคการเมืองมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 8 ตุลาคม 2560 หากพลเอกประยุทธ์เป็นคนตรงหรือเคารพกฎหมาย จะต้องปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2560 ซึ่งพ้นงานพระราชพิธีแล้ว แต่กลับถ่วงเวลาจนต้องออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ขยายเวลาทำกิจกรรมของพรรคการเมืองให้เริ่มจากวันที่ 1 เมษายน 2561 จากนั้นรัฐมนตรีต่างประเทศก็ออกมาทดสอบโดยให้สัมภาษณ์ว่าต่างชาติน่าจะรับได้กับการเลื่อนการเลือกตั้ง แต่ก็ถูกสหภาพยุโรปและสหรัฐสวนเอาแบบไม่เกรงใจว่า การเลือกตั้งต้องแล้วเสร็จภายใน 2561 ตามที่สัญญาไว้ พลเอกประยุทธ์จึงต้องหาข้ออ้างแบบไร้เดียงสาว่าเป็นเรื่องของ สนช. ที่ตนก้าวล่วงไม่ได้
ที่ผ่านมาผมเห็นแต่เผด็จการที่กล้าทำกล้ารับไม่โทษคนอื่น เช่น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่พูดว่า “ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” หรือแม้แต่พลเอกสุจินดา คราประยูร ที่เคยบอกว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ยังกล้ารับว่า “ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ” แต่ยุคหลังผมกลับเห็นแต่เผด็จการกระจอกที่กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ โกหกได้แบบไม่อายปาก อยากมีอำนาจแต่ขี้ขลาดโยนให้คนอื่นรับแทน จะไล่ให้ไปนุ่งผ้าถุงก็เสียดายผ้าที่แม่ผมนุ่ง เพราะคนประเภทนี้แม้แต่ผ้าถุงก็ไม่คู่ควร โคตรกระจอกเลยครับ
ด้านนายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป อาจเป็นเดือน ก.พ.2562 ไม่เป็นไปตามที่ พล.อ.ประยุทธ์เคยประกาศไว้ว่าจะมีการเลือกตั้งเดือน พ.ย.2561 พล.อ.ประยุทธ์บอกจะอยู่ไม่นาน แต่เลื่อนการเลือกตั้งมาหลายครั้ง โดยมีการสร้างเหตุผลต่างๆ มารองรับ ครั้งนี้ สนช.ก็สร้างเหตุผลต้องทำกฎหมายให้สอดคล้องกับคำสั่งที่ 53/2560 พล.อ.ประวิตรก็รับลูก บอกไม่น่ามีอะไรทำให้โรดแมปเลื่อนออกไปอีก ถ้าอยู่กันอย่างสงบเรียบร้อย แสดงว่าหากมีปัจจัยอะไรเกิดขึ้น การเลือกตั้งยังเลื่อนได้อีกใช่หรือไม่ ดังนั้นวันเลือกตั้งของรัฐบาลตอนนี้ไม่มีใครเชื่อถือแล้วว่าจะเป็นไปตามที่พูด ความเชื่อในคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ได้ล้มละลายไปแล้ว
แกนนำคนเสื้อแเดงรายนี้ยังกล่าวว่า การบริหารประเทศที่ผ่านมาเกือบ 4 ปี โครงการต่างๆ ของรัฐบาล ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเข้าไม่ถึง ผลประโยชน์ต่างๆตกไปที่กลุ่มนายทุน ประชาชนต่างเอือมระอา และพอมีเรื่องอะไรที่ส่อแววทุจริต หน่วยงานตรวจสอบก็ไม่สามารถเอาผิดได้เลย กลับกลายเป็นการฟอกขาว ประชาชนไม่สามารถมีปากมีเสียง
นายวรชัยกล่าวว่า ความหวังเดียวของประชาชนที่ต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการคือการเลือกตั้ง เพราะพวกเขาซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย จะได้เลือกผู้แทนมาทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ ไม่เหมือนคนที่ถูกแต่งตั้งที่ต้องรักษาผลประโยชน์ให้ผู้แต่งตั้งตัวเองเข้ามา เมื่อมีการยื้อเวลาออกไปเช่นนี้ ระวังประชาชนจะทนไม่ไหว จนออกมารวมตัวกันทวงคืนอำนาจของตัวเอง หากเป็นเช่นนั้น การยื้อเวลาของ สนช.ครั้งนี้ จะเป็นจุดจบของรัฐบาล คสช.และแม่น้ำทั้ง 5 สาย
ขณะที่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้ประชาชนไม่อยากรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะรู้เห็นกับ สนช.หรือไม่เรื่องการเลื่อนเลือกตั้ง เพราะคนไทยคงรู้ดีและคงเบื่อหน่ายอยู่แล้วกับสัญญาที่ผู้นำไทยแลนด์ไปพูดไว้ถึง 3 ครั้ง ว่าจะเลือกตั้งปี 2558 ที่โตเกียว เลือกตั้งปี 2559 ที่ UN เลือกตั้งปี 2560 ที่ USA แต่ประชาชนคงอยากรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะตอบสหภาพยุโรป สหรัฐ และนานาชาติอย่างไร ในภาวะผู้นำไทยแลนด์มากกว่า และที่ผ่านมาประชาชนเข้าใจลึกซึ้งแล้วว่า ความจริงคืออะไร การปฏิรูป การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน ที่อุตส่าห์ไปเป่านกหวีดเรียกคนดีออกมานั้น วันนี้เป็นอย่างไร
รองโฆษกพรรคเพื่อไทยบอกว่า ประเด็นสำคัญคือประชาชนอยากรู้จริงๆ ว่ารัฐบาล คสช.จะเอาเปรียบคนอื่นก่อนการเลือกตั้งหรือไม่ขนาดไหน โดยเฉพาะการใช้กลไกของรัฐและเงินงบประมาณ ที่วันนี้เรียกได้ว่ายิ่งกว่าแนวคิดเฮเลคอปเตอร์มันนี โดยเฉพาะแจกเงินผ่านบัตรคนจนที่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ประชานิยม ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยหรือประชานิยมนั่นแหละ
"ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย และทุกประเทศก็ทำกัน แต่ประชานิยมของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์จะเป็นการแจกเงินเปล่า และไม่ได้สร้างให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นเอง ไม่เหมือนในอดีตที่นโยบายช่วยผู้มีรายได้น้อยของพรรคไทยรักไทยและเพื่อไทยที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้ เช่น กองทุนหมู่บ้าน โอท็อป 30 บาทรักษาทุกโรค SME และ SML"
นายจิรายุยังกล่าวว่า นอกจากนี้ ประชาชนผู้มีรายได้น้อยลำบากกันกว่า 3 ปี แต่รัฐบาลเพิ่งจะมาช่วย แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็ประกาศเป็นนักการเมือง อดไม่ได้ที่ประชาชนต้องคิดว่าเป็นการแจกเงินเพื่อหาเสียงใช่หรือไม่ อีกทั้งบัตรคนจนก็ไปซื้อได้เฉพาะสินค้าของนายทุนบางคนเท่านั้น ไม่ได้ช่วยพ่อค้าแม่ค้าตามท้องตลาดเลย ซ้ำยังทำให้การค้าขายของพ่อค้าแม่ค้าในตลาดมียอดขายต่ำลงอีก เพราะถูกแย่งตลาดไป
ดังนั้นประชานิยมของ พล.อ.ประยุทธ์แทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร แถมยังจะเป็นภาระการเงิน การคลัง ของประเทศไปอีกนาน เพราะแจกแล้วก็จะเลิกแจกไม่ได้ ซึ่งต่างกับประชานิยมของพรรคเพื่อไทย ที่มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ให้ประชาชน คือ ประชาชนต้องทำงานเพื่อให้ได้รายได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่แจกเงิน
"วันนี้เมื่อเข้าสู่โหมดเตรียมตัวเลือกตั้ง รัฐบาลต้องไม่เอาเปรียบคนอื่นเหมือนกับที่เคยดูถูกไว้ในช่วงหลายรัฐบาลที่ผ่านมา และต้องออกมาอธิบายให้ได้ว่าตกลงแล้วเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างไร แย่ลงขนาดไหน และแนวทางจะแก้ไขในปีนี้เป็นอย่างไรประชาชนรอฟังอยู่ เพราะผลกระทบจากนานาชาติจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจในประเทศมีปัญหามากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นคนไทยควรเตรียมตัวรับมือกับมรสุมเศรษฐกิจลูกใหม่ตั้งแต่เดือนหน้านี้เป็นต้นไป" นายจิรายุกล่าว
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณีนายกรัฐมนตรีมีคำสั่ง สร.ที่ 21/2561 ลงวันที่ 23 ม.ค.2561 ข้อ 4 แต่งตั้ง "จิตอาสา" ให้ปฏิบัติหน้าที่ร่วมทีม "โครงการไทยนิยม ยั่งยืน" ระดับตำบล ทุกตำบลทั่วประเทศ โดยในคำสั่งดังกล่าวมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และ มท.1 เป็นเลขานุการ ว่าจิตอาสากำเนิดขึ้นด้วยพลังบริสุทธิ์ของพสกนิกรทั่วประเทศที่อาสาทำงานเฉพาะกิจในพระราชพิธีสำคัญที่ผ่านมา ซึ่งประชาชนคนไทยต่างแซ่ซ้องสดุดีจิตอาสาที่กระทำคุณงามความดีถวายฯ เป็นที่ประจักษ์ จึงควรยกคุณค่าของจิตอาสาไว้ในที่สูงที่จะทำกิจกรรมถวายฯ เท่านั้น หากจะมีกิจกรรมพิเศษที่นอกเหนือจากนี้ ก็ควรพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นครั้งคราวไป เพราะจิตอาสาเกิดขึ้นจากพลังบริสุทธิ์ในการอาสาทำภารกิจสำคัญถวายฯ ดังกล่าวข้างต้น
เขาบอกว่า ประการสำคัญ หากจะมีกิจกรรมพิเศษมอบให้จิตอาสาดำเนินการโครงการนั้น ไม่ควรมีข้อครหาสุ่มเสี่ยงกับกิจกรรมการเมืองหรือเกี่ยวเนื่องกับการเมือง อันอาจถูกครหาที่ไม่สมควรได้ ที่ตนจำเป็นต้องตั้งข้อสังเกตป้องกันจิตอาสาไว้ในที่สูง ไม่ให้มาทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเมืองหรือเกี่ยวเนื่องกับการเมือง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ได้ประกาศต่อสาธารณะว่า ท่านเป็นนักการเมือง และไม่ปฏิเสธปิดทางการเป็นนายกฯ จากคนนอก เฉพาะอย่างยิ่ง "โครงการไทยนิยม ยั่งยืน" กำลังถูกสังคมครหาว่าใช้งบประมาณแผ่นดินนับแสนล้านบาทในการสร้างความนิยมให้นายกฯ คนนอก
"ดังนั้น ด้วยความสุจริตใจ จึงควรกันจิตอาสาซึ่งเป็นพลังบริสุทธิ์ให้มีภารกิจสำคัญในการทำงานถวายฯ เท่านั้น หากมีภารกิจพิเศษอื่นเกิดขึ้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องก็อาจพิจารณาเป็นครั้งคราวไป มิใช่ออกคำสั่งปูพรมไปทุกตำบลทั่วประเทศ หากเกิดการทุจริตในการใช้งบประมาณ เช่น โครงการ 9101 ที่ยังเคลียร์ไม่จบ ก็จะเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ใครจะรับผิดชอบ และจะรับผิดชอบกันไหวหรือ" นายชวลิตกล่าว
ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ความเชื่อมั่นต่อการทำงานตรวจสอบรัฐบาล คสช. ของ ป.ป.ช.” ว่า ทั้ง ป.ป.ช.และรัฐบาล คสช.ต้องรับฟังและตรวจสอบตัวเองถึงเสียงสะท้อนความเชื่อมั่นต่อการทำงานของ ป.ป.ช. ที่ร้อยละ 76.32 เห็นว่ามีความไม่ปกติ ไม่โปร่งใส ร้อยละ 61.04 ระบุว่ามีการแทรกแซงการทำงานของ ป.ป.ช. จากรัฐบาล คสช. คำชี้แจงของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมถึงท่าทีจาก ป.ป.ช. ทำให้ประชาชนกังขาและไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการตรวจสอบหรือไม่ เพราะแม้แต่กองหนุนของท่านเองยังตั้งคำถามในลักษณะเกิดวิกฤติศรัทธา ความเชื่อมั่นลดกองหนุนหดหายหรือไม่ ท่านต้องไปตรวจสอบมาตรฐานการทำหน้าที่ตรวจสอบ
"ถ้าเป็นแบบลูบหน้าปะจมูก เลือกปฏิบัติ ประชาชนคงไม่อาจไว้วางใจหรือให้ความเชื่อมั่นได้ และเมื่อประชาชนสิ้นหวังต่อกระบวนการและมาตรฐานการตรวจสอบ ช่วงเวลาที่เหลือของรัฐบาลจะประสบสภาวะยากลำบาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลทั้งระบบ โดยเฉพาะท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ต่อการตรวจสอบเรื่องนี้ ประชาชนตั้งคำถามว่าระหว่างความถูกต้อง การตรวจสอบอย่างมีมาตรฐานธรรมาภิบาลกับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ท่านมีหลักอย่างไร ประชาชนรอด้วยใจระทึกว่า ลำดับดัชนีคอร์รัปชัน หรือ CPI ที่จะเปิดเผยในเดือนกุมภาพันธ์ ประเทศไทยจะมีลำดับดีขึ้นหรือแย่ลง ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นปัจจัยหนึ่งในการประเมินดัชนีคอร์รัปชันดังกล่าว" นายอนุสรณ์กล่าว
จากกรณีผลสำรวจของศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เรื่อง “ความเชื่อมั่นต่อการทำงานตรวจสอบรัฐบาล คสช.ของ ป.ป.ช.” ระหว่างวันที่ 24-25 มกราคม 2561 จำนวน 1,250 คน โดยประชาชนร้อยละ 76.32 เห็นว่าการทำงานของ ป.ป.ช.มีความไม่ปกติ ไม่โปร่งใสในรัฐบาล และประชาชนร้อยละ 61.04 เห็นว่ามีการแทรกแซงการทำงานของ ป.ป.ช. จากรัฐบาล คสช.
นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนติดตามการทำงานของ ป.ป.ช. จึงสามารถแสดงความเห็นได้ แต่คำถามใหญ่คือว่าทำไมประชาชนคิดอย่างนี้ ซึ่งเหตุผลแรกคือเรื่องที่มาของป.ป.ช. ชัดเจนว่ามาจาก คสช. อีกทั้งกรรมการยังมีความใกล้ชิดกับ คสช. ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อถือแน่นอน อีกประเด็นหนึ่งคือ ประชาชนดูผลงานการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาคนในรัฐบาลก็มีคนที่มีความประพฤติมิชอบหลายเรื่อง และเป็นเรื่องที่สังคมกังขา แต่การตรวจสอบกลับไม่เห็นมีความคืบหน้าออกมา หรือได้แสดงให้เห็นความเอาจริงเอาจังอะไร เหล่านี้ทำให้ผลคำตอบออกมาแบบนี้
“ผมคิดว่าประชาชนคงไม่หวังอะไรกับ ป.ป.ช.ชุดนี้ ถึงหวังก็คงไม่ได้อะไร เพราะที่ผ่านมาการทำงานของ ป.ป.ช. เดินหน้าตรวจสอบเอาผิดฝ่ายตรงข้ามกับคสช.อย่างเต็มที่ แต่กับฝ่าย คสช.กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่ามีการเลือกข้าง เทกไซด์” นายชูศักดิ์ กล่าว
พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 ในฐานะทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่พรรคการเมืองวิพากษ์วิจารณ์กรรมาธิการ สนช.ลงมติขยายเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ออกไป 90 วันว่า ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามกรอบของโรดแมป ในการเตรียมการส่งมอบอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินให้กับรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง แม้ว่ามีเงื่อนไขเวลาที่ขยับออกไป แต่ก็เป็นรายละเอียดที่ทำให้การปฏิบัติของพรรคการเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเลือกตั้งสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสม ส่วนการขยายเวลาออกไปอีก 90 วัน เป็นรายละเอียดการปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย
"ขอย้ำว่าไม่ใช่การเอื้อประโยชน์ให้ คสช.แต่อย่างใด เพราะผู้ที่ได้รับประโยชน์คือประเทศชาติและประชาชน"
เมื่อถามว่า แล้วจะชี้แจงให้พรรคการเมืองที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นนี้อย่างไร เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน พล.ต.ปิยพงศ์ตอบว่า เราอธิบายตามข้อเท็จจริง ซึ่งเชื่อว่าเหตุและผลเป็นสิ่งที่ควรจะรับฟังและสามารถรับรู้ได้ถึงเจตนาที่ดี
ถามอีกว่า การออกมาให้ความเห็นทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาและอียู ให้ทางการไทยยึดกรอบการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนปี 2561 นั้น พล.ต.ปิยพงศ์ กล่าวว่า คสช.ต้องเรียนด้วยความขอบคุณ เพราะทั้งสองคือมหามิตร และมีความสัมพันธ์กับประเทศไทยมายาวนาน จึงเชื่อมั่นได้ว่าเขาจะเข้าใจในความสำคัญว่าห้วงเวลานี้ คสช.และรัฐบาลกำลังบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิรูป การพัฒนาการวางยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
“การดำเนินงานต่างๆ หลายๆ อย่างยังคงไปตามกรอบระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ ที่สำคัญคือเมื่อประเทศไทยเป็นมิตรกับทุกประเทศ ทุกประเทศจึงควรเข้าใจ และคงเข้าใจ ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และให้การสนับสนุนเราเป็นอย่างดีเช่นกัน” ทีมโฆษก คสช. กล่าว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |