สถาบันครอบครัวเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด การจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เป็นคนดีของสังคมได้ จุดเริ่มต้นย่อมมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ในสมัยก่อนผู้เขียนมีสิทธิ์ลาคลอดตามกฎหมายได้แค่ 30 วัน แต่เนื่องจากผ่าคลอดมีสิทธิ์ลาเพิ่มแบบ leave without pay ได้อีกเพียงแค่ 15 วัน ซึ่งนับว่าโหดมาก ยิ่งทำงานบริษัทเอกชนที่มีตัวเลขในความรับผิดชอบ การลางานหมายถึงการขาดรายได้ของบริษัท เคยคิดจะลาออกหลายครั้ง เพราะการเลี้ยงลูก 3 คนโดยไม่มีตัวช่วยเลยเป็นเรื่องที่ยากมาก โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนที่ไม่มีมรดกหรืออาชีพเสริมใดๆ รองรับ เราสองคนแทบไม่เคยใช้วันลาพักร้อนเลย เพราะต้องเก็บไว้ลาเมื่อลูกเจ็บป่วย ยิ่งมีลูกหลายคนรายจ่ายก็พุ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่ละบ้านก็มีวิธีการเลี้ยงลูกที่แตกต่างกันออกไป คุณแม่บางคนก็ออกจากงานประจำมาเลี้ยงลูก บางคนก็ให้ญาติผู้ใหญ่เลี้ยงแทน บางคนก็ส่งลูกไว้ให้พี่เลี้ยง ซึ่งคุณแม่หลายคนก็อยากจะทุ่มเทเวลาเพื่อลูกอย่างเต็มที่ แต่ครั้นจะให้มาเป็นแม่บ้านอย่างเดียวก็จะทำให้ขาดรายได้ และหากหัวหน้าครอบครัวเป็นอะไรไปจะทำให้อนาคตลูกดับวูบไปด้วย
ปัจจุบัน คุณแม่ลาคลอดได้ 90 วัน โดยนับวันหยุดในระหว่างวันลารวมด้วย โดยได้รับเงินค่าจ้าง 45 วันจากนายจ้าง 45 วันจากประกันสังคม ส่วนที่ได้รับจากประกันสังคม จะเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของเงินเดือนเฉลี่ย 90 วัน (คิดจากฐานเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท) และสามียังสามารถลาเลี้ยงลูกได้อีก เด็กก็จะได้อยู่ใกล้ชิดพ่อแม่ถึง 3 เดือนเต็ม ได้ดื่มนมจากอกแม่อย่างเต็มที่ เด็กรุ่นนี้น่าจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อาชีพแม่เป็นอาชีพที่น่ายกย่องมาก การทุ่มเทเลี้ยงลูกคืองานที่ไม่มีวันหยุด ถึงแม้จะเหนื่อยเพียงใดคนเป็นแม่ก็ไม่อยากจะให้ลูกคลาดสายตา การเลี้ยงลูกเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับผู้หญิงทุกคน ทุกย่างก้าว ทุกรอยยิ้ม ทุกการเจริญเติบโตคือภาพแห่งความทรงจำอันงดงามของผู้เป็นแม่ที่มีทุกความรู้สึกในแต่ละช่วงของชีวิต ไม่ว่าจะสุขจะทุกข์ก็ต้องยอมรับและเดินหน้ากันต่อไป
ผู้เขียนไม่กล้าลาออกจากงานแต่เลือกที่จะทำงานที่ไม่ได้อยู่ประจำในออฟฟิศ เราจะได้สามารถบริหารเวลาได้ในกรณีที่ลูกมีปัญหา ตอนที่ลูกยังเล็กจะบอกเจ้านายว่าไม่ต้องโปรโมต รอลูกโตก่อนค่อยว่ากัน พอลูกๆ เริ่มโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ก็ได้รับการเสนองานจาก Head hunter งานเริ่มรุ่ง เงินก้าวกระโดด มีโอกาสได้ไปต่างประเทศบ่อยมาก แต่ความใกล้ชิดกับลูกและครอบครัวเริ่มน้อยลง เมื่อถึงจุดที่ต้องเลือกก็ได้ตระหนักว่า อาชีพการงาน ให้มีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน เราลาออก บริษัทก็หาคนแทนได้ แต่อาชีพแม่นี่สิจะหาใครมาทำแทนได้ จะหาใครมารักลูกเรา ดูแลลูกเรา เอาใจใส่ในทุกรายละเอียดได้เท่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ ข้อสำคัญอาชีพนี้มีอนาคตของลูกเราเป็นเดิมพัน ความรัก ความใกล้ชิด ก็มีเวลาเต็มที่ไม่น่าเกินช่วง 20 ปีแรก หลังจากนั้นลูกก็จะเริ่มต้องการความเป็นอิสระ เราก็ได้แค่มองอยู่ห่างๆ ยิ่งถ้าเขามีแฟนก็เป็นสัญญาณว่าเราต้องส่งมอบให้คู่ชีวิตของเขาดูแลกันและกันต่อไป แต่ในความเป็นแม่ไม่ว่าลูกจะโตแค่ไหนก็ยังคงเป็นลูกน้อยในสายตาเรา ที่คนเป็นแม่คอยชื่นชมความสำเร็จ คอยให้กำลังใจหากมีปัญหา และให้ความรักเหมือนเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลง.
จิตติมา กุลประเสริฐรัตน์
([email protected])
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |