2018 อียูกับระเบียบโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง


เพิ่มเพื่อน    

        เมื่อพูดถึงระเบียบโลก (world order) มักชวนให้นึกถึงบทบาทชาติมหาอำนาจ เป็นความจริงที่ประเทศดังกล่าวมีบทบาทต่อการจัดระเบียบโลกมาก และเป็นความจริงที่ว่าทั้งประเทศเล็กกับใหญ่ต่างพยายามส่งผ่านอิทธิพล มีส่วนกำหนดระเบียบโลกที่ประสงค์ การจัดระเบียบโลกเกิดขึ้นในทุกมิติ ทั้งด้านการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี เป็นปฏิสัมพันธ์ที่ดำเนินตลอดเวลา บางเรื่องเห็นชัด บางเรื่องปิดบังอำพราง บางครั้งคือความร่วมมือ และบางกรณีคือสงคราม บั่นทอนบ่อนทำลายศัตรู

        นับตั้งแต่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี สัมพันธภาพระหว่างรัฐบาลสหรัฐกับอียูนับวันจะเสื่อมถอย เห็นความบาดหมางชัดเจน บ่งบอกว่าอียูไม่อาจทนอยู่นิ่งเฉยต่อไป เยอรมนีที่ถือว่าเป็นแกนนำสำคัญมีการหารือถกเถียงว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่อียูต้องเป็นตัวของตัวเองมากกว่านี้ ด้วยเหตุผลว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงได้เวลาคิดใหม่ทำใหม่แล้ว

อียูต้องคิดใหม่ทำใหม่ :

        สหรัฐไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่หลายเรื่องมีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญ ชักนำให้อียูไม่คิดว่าสหรัฐเป็นพันธมิตรที่พึ่งพาได้อีก เช่น

        กรณียูเครน

        การขับเคี่ยวทางการเมืองของยูเครนเกี่ยวข้องกับการแบ่งขั้วระหว่างฝ่ายที่อิงชาติตะวันตกกับฝ่ายที่อิงรัสเซีย ลงเอยด้วยความวุ่นวายภายใน เกิดสงครามกลางเมือง รัสเซียส่งทหารเข้าคุมพื้นที่บางส่วน ตามด้วยสหรัฐคว่ำบาตรรัสเซียและชักนำให้อียูต้องร่วมคว่ำบาตรด้วย ผลเสียตกแก่อียูมากที่สุด ทั้งๆ ที่อียูไม่ต้องการ

        ความไร้เสถียรภาพในตะวันออกกลาง

        รัฐบาลสหรัฐเข้าพัวพันอาหรับสปริงทั้งแบบเปิดเผยกับซ่อนเร้น ผลความวุ่นวาย ต่างชาติเข้าแทรกทำให้เกิดผู้อพยพหลายล้านคนจากแอฟริกาเหนือกับตะวันออกกลางเข้าอียู  กลายเป็นปัญหาใหญ่แก่อียูจนบัดนี้ ในขณะที่รัฐบาลทรัมป์ออกหลายนโยบายเพื่อต้านการรับผู้ลี้ภัย สำหรับอียูแล้วทางออกที่ดีที่สุดคือประเทศเหล่านี้ต้องมีเสถียรภาพ ไม่เกิดสงครามกลางเมือง ส่งผู้อพยพกลับคืน แต่ยากจะเป็นไปได้หากรัฐบาลสหรัฐยังคงต้องการมีอิทธิพลเหนือประเทศเหล่านี้ และส่งทหารเข้าพื้นที่ก่อให้เกิดการปะทะด้วยอาวุธอย่างไม่จบสิ้น

        ทรัมป์ฉีกข้อตกลงนิวเคลียร์ คว่ำบาตรอิหร่าน

        ในสมัยรัฐบาลโอบามา สหรัฐร่วมกับคู่เจรจาอียู รัสเซีย จีน อิหร่าน ได้ข้อตกลงแก้ปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) ให้อิหร่านใช้นิวเคลียร์เพื่อสันติดังประเทศทั่วไป อยู่ภายใต้การตรวจสอบติดตามจากหน่วยงานสหประชาชาติ อิหร่านทำตามข้อตกลงด้วยดี แต่ทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงเพียงลำพังและคว่ำบาตรอิหร่าน ทั้งยังขู่คว่ำบาตรบริษัทเอกชนทุกประเทศหากทำธุรกิจกับอิหร่าน สร้างความเสียหายแก่บริษัทเอกชนอียูที่เข้าไปลงทุนในอิหร่านมหาศาล

        นโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของทรัมป์

        ประธานาธิบดีทรัมป์พร่ำบอกว่าจำต้องตอบโต้ทุกประกาศที่เกินดุลสหรัฐ ทำการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐ ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าดังที่ทราบกันทั่วไป อียูตกเป็นเป้าด้วย แต่ทรัมป์ไม่เคยเอ่ยถึงอีกหลายสิบประเทศที่เสียดุลการค้าแก่สหรัฐ ไม่เคยเอ่ยว่าจะให้ความยุติธรรมแก่ประเทศที่ขาดดุลสหรัฐอย่างไร

        ปิดล้อมคว่ำบาตรรัสเซียกับจีน

        ในมุมมองของอียูต้องการเป็นมิตรกับรัสเซีย ค้าขายกับจีน ลดการเผชิญหน้าทางทหาร ไม่ต้องการอยู่ในภาวะสงครามเย็นกับ 2 ประเทศนี้อีก เพื่อทุ่มเททรัพยากรดูแลพัฒนาประเทศตัวเอง แต่นโยบายแม่บทของสหรัฐนั้นคือการปิดล้อมจีนกับรัสเซีย และน่าจะเข้มข้นมากขึ้น จึงเป็นแนวทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

        กรณีตัวอย่างทั้ง 5 เป็นส่วนหนึ่งชี้ให้เห็นว่านโยบายสหรัฐหลายเรื่องสร้างผลเสียหายร้ายแรงแก่อียู ขัดขวางโอกาสพัฒนา การอยู่ดีกินดีของประชาชน การเป็นพันธมิตรกับสหรัฐในระยะหลังเกิดผลเสียมากมาย อียูยังต้องการเป็นมิตรกับสหรัฐต่อไปไม่ว่าจะรัฐบาลทรัมป์หรือรัฐบาลชุดหน้า แต่จำต้องถอยห่างจากเดิมไม่เดินตามก้นเสียทุกเรื่อง

        หากประธานาธิบดีสหรัฐบอกว่าต้องรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ พิทักษ์รักษาอธิปไตย ทำไมอียูจะพูดและทำเช่นนี้บ้างไม่ได้

        ทำไมต้องทนรับผลเสียที่เกิดขึ้นเพียงเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐได้ทำในสิ่งที่ต้องการ

ระเบียบโลกเปลี่ยน ยุโรปควรวางตัวอย่างไร :

        ประเทศเยอรมนีและยุโรปหลายประเทศเคยชินกับแนวคิดว่าชาติประชาธิปไตยจะต้องเป็นมิตรกัน ตำราตะวันตกมักพร่ำสอนเช่นนี้ ส่วนระบอบอื่นนั้นเป็นภัยหรือไม่อาจเป็นมิตรได้สนิทใจ

        แนวคิดนี้แม้เป็นจริงและมีข้อดีอยู่บ้าง แต่หากพูดให้ลึกแล้วหลายกรณีเป็นวาทกรรม ยกตัวอย่าง ถ้าบอกว่าจีนเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ รัฐบาลสหรัฐผู้อ้างตัวเป็นผู้นำโลกเสรีทำการค้ากับประเทศนี้มากกว่าประเทศอื่นใดในโลก ช่วยให้จีนพัฒนาเติบใหญ่จนสหรัฐหวั่นไหว รัฐบาลสหรัฐทุกสมัยเป็นมิตรหรือสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการอำนาจนิยมหลายประเทศ สนับสนุนอิสราเอลขับไล่ที่ปาเลสไตน์ซึ่งผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ฯลฯ

        ซิกมา กาเบรียล (Sigmar Gabriel) อดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศเยอรมนี กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 1945 (หลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2) เป็นต้นมา รัฐบาลสหรัฐพร่ำบอกให้สร้าง “ระเบียบเสรีนิยม” (liberal order) เพื่อใช้หลักนี้แทนกฎแห่งป่า (law of the jungle - ใครดีใครอยู่) ได้ระเบียบโลกใหม่ที่มีสหรัฐเป็นแกนนำ ในการนี้สหรัฐช่วยฟื้นฟูยุโรปที่เสียหายหนักจากสงคราม แต่ทั้งนี้เพราะสหรัฐเห็นว่าความมั่นคงของยุโรปเป็นผลประโยชน์แก่ตน

        บัดนี้สหรัฐถอนตัวจาก “ระเบียบเสรีนิยม” ที่สร้างขึ้นมาเองกับมือ และกำลังใช้กฎแห่งป่าอีกครั้ง คำถามต่อยุโรปคือควรวางตัวอย่างไร

      สถานการณ์ปัจจุบันที่ 2 ฝั่งแอตแลนติกคิดเห็นต่างกันหลายเรื่องคือโอกาสที่อียูจะเป็นตัวของตัวเอง เดิมอียูไม่คิดถอยห่างจากสหรัฐ แต่รัฐบาลทรัมป์โดดเดี่ยวตัวเอง ต้องขอบคุณทรัมป์ที่เปิดโอกาสให้อียูเป็นอิสระกว่าเดิม

        จีนเสนอแนวทางที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ แต่รัฐบาลทรัมป์มุ่งเอาประโยชน์ตนเป็นหลัก

        รัฐบาลจีนเน้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แม้ถูกวิพากษ์ว่าความร่วมมือบางโครงการไม่ก่อประโยชน์ เป็นผลเสียมากกว่า จีนพยายามตักตวงผลประโยชน์เหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วการร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจย่อมดีกว่าที่โลกจะตกอยู่ในความหวาดกลัว ภัยสงคราม การข่มขู่ด้วยกำลังทหาร อิทธิพลการเมืองจากประเทศที่ใหญ่กว่า

        คำพูดของประธานาธิบดีทรัมป์กลับไปกลับมา ถูกๆ ผิดๆ  ละทิ้งสนธิสัญญาข้อตกลงง่ายๆ เปลี่ยนแปลงไปมาจนยากจะจับทาง รัฐบาลสหรัฐยุคนี้เชื่อถือไม่ได้ยิ่งกว่าอดีต ที่ตกลงกันแล้ววันนี้ พรุ่งนี้อาจเป็นอื่น เช่นนี้คงร่วมมือกันยาก ด้วยเหตุผลเหล่านี้จีนน่าจะเป็นหุ้นส่วนที่ดีกว่า ส่วนความสัมพันธ์กับสหรัฐกลายเป็นความเปราะบางไม่แน่นอน

        ที่สำคัญที่สุดคือ การที่อียูจะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เพราะทรัมป์ แต่เพราะอียูต้องการเปลี่ยนแปลง

กำหนดวาระของตนเอง :

        การจะเป็นอิสระได้จริงต้องตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องเป็นผู้กำหนดวาระของตัวเองด้วยตัวเอง แท้จริงแล้วรัฐบาลสหรัฐเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ไม่แปลกใจที่สหรัฐสามารถกอบโกยผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้มากมาย

        การจะเป็นอิสระต้องใช้ความกล้าหาญ แม้มีความเสี่ยงแต่เป็นความเสี่ยงที่ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ เปิดกว้างให้สาธารณชนได้อภิปราย พูดในเรื่องที่ไม่ค่อยจะพูด

        อียูเป็นมหาอำนาจระดับภูมิภาค เป็นกลุ่มประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงกว่าที่อื่นๆ มีความเข้มแข็งทางเทคโนโลยี พลังเศรษฐกิจพอสมควร หากอียูแสดงตัวเป็นอีกขั้วที่ไม่เกาะอเมริกา เมื่อนั้นดุลอำนาจโลกจะเปลี่ยน เกิดผลลัพธ์ตามมาอย่างน้อย 2 ข้อ ข้อแรกคือสหรัฐสูญเสียพันธมิตรแอตแลนติกที่สำคัญ อีกข้อคือประเทศเล็กๆ หลายประเทศจะกล้าถอยห่างจากสหรัฐมากกว่าเดิมโดยยึดอียูเป็นแบบอย่าง ประเทศเล็กๆ เหล่านี้จะหันไปสัมพันธ์ใกล้ชิดอียูมากขึ้น กลายเป็นโอกาสสำคัญที่อียูจะแสดงภาวะผู้นำโลกเสรีประชาธิปไตยเทียบเคียงสหรัฐ และในหลายเรื่องที่สหรัฐสูญเสียความเป็นผู้นำ เช่น การแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน การยึดกติกาองค์การค้าโลก

        เกิดวัฏจักรที่สหรัฐสูญเสียมิตรหรือพันธมิตร เป็นวัฏจักรโดดเดี่ยวตัวเอง (หรือถูกโดดเดี่ยว)

        ถ้าวิเคราะห์ตามแนวคิดนี้ อิทธิพลสหรัฐลดน้อยถอยลง

        บริบทโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จำต้องติดตามให้รู้เท่าทัน ปรับตัวให้ได้ประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลง การอยู่นิ่งเฉยไม่ใช่ทางออก เพราะผู้อื่นกระทำต่อเราตลอดเวลา  บริบทมีผลต่อเรา การอยู่นิ่งเฉยเท่ากับตั้งรับอย่างเดียว เป็นผลเสียมากกว่า และอาจเสียหายมากที่สุด จึงต้องกำหนดวาระของตนและผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์.

--------------------

ภาพ : การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ประจำปี 2018

ที่มา : https://www.facebook.com/UN.News.Centre/photos/a.10150595642096872/10155984174201872/?type=3&theater

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"