เมื่อวันที่ 26 ก.ย.61 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ให้บริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จ่ายเงินให้บริษัท ทีโอที จำกัด จำนวนประมาณ 1,217,505,724 บาท คดีนี้เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1615/2557 และคดีหมายเลขดำที่ 498/2559 ที่บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ร้อง ขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าวแต่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ผู้คัดค้านขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยมาจากกรณีที่ ทรู และทีโอที มีสัญญาสัปทานให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน และต่อมามีกฎหมายเกี่ยวกับภาษีสรรพาสามิต ให้เรียกเก็บภาษีสรรพาสามิตจากกิจการโทรคมนาคม โดยครม.มีมติเมื่อวันที่ 28 ม.ค.2546 และวันที่ 11 ก.พ.2546 ให้หักค่าภาษีสรรพสามิตออกจากส่วนแบ่งรายได้ ที่เอกชนจ่ายให้รัฐคู่สัญญา ทีโอทีจึงหักเงินจากส่วนแบ่งรายได้ ส่งให้ทรูเพื่อไปชำระภาษีสรรพาสามิต จำนวนประมาณ 1,479.62 ล้านบาท แต่ต่อมา ครม.เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2550 มีมติยกเลิกมติเมื่อปี 2546 และให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายเสียภาษีสรรพสามิต ตามจำนวนรายรับที่แต่ละฝ่ายได้รับ ทีโอทีจึงร้องให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ทรูคืนเงิน 1,217,505,724 ล้านบาท

ศาลปกครองกลางเห็นว่า มติครม.เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2546 และเมื่อวันที่ 11 ก.พ.2546 มิใช่มติที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตามมาตรา 150 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่คณะอนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยชี้ขาดให้ผู้ร้องชำระเงินผลประโยชน์ตอบแทนตามสัญญาแก่ผู้คัดค้าน จึงเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นไปตามข้อตกลงแห่งสัญญาพิพาท และการบังคับตามคำชี้ขาดดังกล่าวย่อมเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลมีอำนาจเพิกถอนคำชี้ขาดได้ตามมาตรา 34 วรรคสี่ และมาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 จึงมีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ และปฏิเสธการขอบังคับตามคำชี้ขาดดังกล่าว