"ผมสนใจงานการเมือง"
๖ คำนี้ก็เกินพอ.......
สำหรับ "นายกฯ ลุงตู่" ที่จะใช้เป็นสินสอดหมั้นใจ "แฟนคลับ"
ตั้งแต่รุ่นจุกนมไปยันรุ่นตะบันหมาก ที่หลากหลายทั่วประเทศ!
ยิ่งลุงตู่ "ย้ำหัวตะปู" ลงไปด้วยว่า
"ผมสนใจงานการเมือง เพราะผมรักประเทศชาติของผม"
จบเลย!
ไม่ต้องพูดกันอีกแล้วว่า เลือกตั้ง ๒๔ กุมภา ๖๒ คนทั้งบ้าน-ทั้งเมือง จะเลือกใครเป็นนายกฯ?
รอแต่ว่าชื่อ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" จะหราอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรคไหน เท่านั้น
แล้วเมื่อไหร่พลเอกประยุทธ์จะบอกว่าอยู่พรรคไหนล่ะ?
ก็ไม่ต้องใจร้อนกันไป .......
แค่คำว่า "ผมรักประเทศไทยของผม"
มันตอบคำถาม เรื่องงานบริหารประเทศอีก ๔ ปีข้างหน้า กับคนที่จะเข้ามาใหม่อยู่แล้ว
ว่าคือใคร-พรรคไหน?
แต่ถ้าวันไหนนายกฯ บอก "ผมหมดรักประเทศไทยแล้ว"
วันนั้น นั่นแหละ
ค่อยไปหาที่ฝากใจ ฝากบ้าน-ฝากเมือง กันต่อกับคนใหม่!
เพื่อให้ครบกระบวนความ อ่านสัญญาการเมืองจากปากนายกฯ เมื่อวาน (๒๔ ก.ย.๖๑) กันดู
"สำหรับสิ่งที่หลายๆ คนอยากจะให้ผมตอบในเรื่องงานการเมือง ผมก็ตอบได้ว่า
ในขณะนี้ผมสนใจงานการเมือง
แต่การที่ผมจะตัดสินใจอย่างไร จะสนับสนุนใคร มันเป็นเรื่องอีกระยะหนึ่ง ซึ่งผมจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
แต่วันนี้ ผมสนใจการเมือง
เพราะผมสนใจในสิ่งที่ผมทำลงไป ว่าไปถึงไหนอย่างไร วันข้างหน้าจะได้รับการสืบสานต่อไปหรือไม่
ผมจะติดตามรับฟังจากบรรดากลุ่มการเมือง พรรคการเมือง นักการเมืองต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้
เพราะฉะนั้น......
ผมขอใช้คำแรกนี้ได้ว่า 'ผมสนใจงานการเมือง เพราะผมรักประเทศชาติของผม'
ก็คงเป็นเช่นเดียวกับคนไทยทั้งประเทศ
รวมทั้งสื่อมวลชนด้วย ก็ต้องรักประเทศไทยของเรา ก็สุดแล้วแต่ประชาชนจะว่าอย่างไรในอนาคต
ขอบคุณครับ...สวัสดีครับ' "
วันนี้ คุยกันแค่นี้พอ เผอิญคืนวาน อ่านพบเรื่อง "ต้องคิดคำนึง" ขออนุญาตผู้เขียนลอกเผยแพร่ต่อ ดังนี้
JITT - Japanese Language Interpreter and Translator Society in Thailand
Pock Pornchai
#ฤๅเราคือล่ามตกยุค
เมื่อวานนี้ทำงานล่ามให้เครือบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติไทย-จีนที่กำลังจะเป็นพาร์ทเนอร์กับเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น
จึงมีการจัดสัมมนาให้ฝั่งไทย-จีน-ญี่ปุ่นที่รับผิดชอบธุรกิจคล้ายกันมาระดมสมองว่าจะสามารถร่วมธุรกิจกันให้เกิดผลเชิง Synergy ได้อย่างไรบ้าง
แน่นอนว่า งานสัมมนาระดับนานาชาติแบบนี้ต้องใช้ล่ามเยอะมาก ด้วยความที่มีการแบ่งโต๊ะย่อยสำหรับแต่ละกลุ่มธุรกิจประมาณโต๊ะละ 10 คน
วันนี้จึงได้เจอล่ามประกบผู้บริหารจีนที่อิมพอร์ตตรงมาจากจีนหลายคน เอกลักษณ์ที่เห็นได้ชัดของล่ามจีนคือมีแต่คนรุ่นใหม่
ทุกคนเป็นผู้ชาย แทบไม่มีใครอายุเกิน 30 เลย อายุเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 25-27 ปี ทุกคนแต่งตัวดีมาก ใส่สูทเข้ารูป ดูทันสมัย เสื้อเชิ้ตกริบ เนกไทเท่ดูไม่เชย ผิวพรรณหน้าผมทุกอย่างได้รับการดูแลอย่างดี
ที่สำคัญคือ ทุกคนสูงมากกก สูง 180++ ถึงแม้หน้าตาจะดูเป็นตี๋ธรรมดา แต่ด้วยการดูแลตัวเองอย่างดีและการเลือกใส่เสื้อผ้าที่เสริมบุคลิก ขับจุดเด่นที่รูปร่างและมาดอันทันสมัยออกมา ทำให้กองทัพล่ามจากจีนดูราวกับกองทัพนายแบบที่เห็นแล้วทำให้เรารู้สึกตัวเล็กไปทันที
พอได้ยินลีลาการล่ามของล่ามหนุ่มจีนแต่ละคน เราก็ยิ่งตกใจ เพราะสำเนียงภาษาอังกฤษเป๊ะกันมาก มากขนาดที่ทำเอาความมั่นใจในภาษาอังกฤษของเราแทบเหลือศูนย์ แถมวิธีการล่ามยังเป็นแบบที่เราไม่ค่อยได้เห็นคือเป็นการล่ามแบบ whispering + simultaneous คือแปลสิ่งที่คนอื่นบนโต๊ะสัมมนาพูดให้ผู้บริหารที่ตัวเองประกบอยู่ฟังโดยกระซิบใส่หูแบบสดๆ
โดยเวลาผู้บริหารที่มีล่ามจีนประกบพูดก็จะพูดกระซิบใส่หูล่าม ให้ล่ามแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นแบบสดต่อ ไม่มีการเว้นจังหวะให้แปล
สำหรับเราแล้ว ล่าม whispering เป็นล่ามที่ทำยากที่สุด เพราะนอกจากจะต้องใช้ความสามารถและสมาธิในการแปลสดแล้ว
บ่อยครั้งที่สภาพการทำงานไม่เอื้ออำนวย มีเสียงดังรบกวนทำให้แทบไม่ได้ยินเสียงคนพูด
แถมยังมีตัวแปรภายนอกมากมายที่ทำให้เสียสมาธิ การแปลสด โดยฟังจากหูฟังในบูธจึงยังง่ายกว่า เพราะเอื้อต่อการรวบรวมสมาธิกว่ามาก
ด้วยเหตุนี้ เราจึงทึ่งมากเมื่อเห็นล่ามจีนที่ดูอายุยังน้อยสามารถล่ามแบบนี้ได้โดยล่ามออกมาเป็นภาษาอังกฤษที่สวยงาม ใช้ศัพท์ดี แกรมม่าเป๊ะ แถมสำเนียงยังแทบไม่ต่างจากเจ้าของภาษา
ยิ่งได้ยินภาษาญี่ปุ่นจากปากล่ามคนเดียวกัน ยิ่งอึ้ง เพราะสำเนียงสุดยอดมาก ชนิดหากหลับตาคงนึกว่าคนญี่ปุ่นพูดอยู่ แถมเคโกะยังเป๊ะ ศัพท์แสงที่ใช้ก็ดูดีมีชาติสกุลเหมาะสมกับบริบท ลีลาการแปลกระชับไม่เยิ่นเย้อ
ที่สำคัญ แปลได้เร็วแทบไม่เกิด lag เลย จนดูเหมือนเขาพากย์เสียงอังกฤษ/ญี่ปุนให้ผู้บริหารที่พูดจีนอยู่เลย สร้างแรงกดดันให้กับล่ามที่นั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกันอย่างเราเป็นเท่าทวีคูณ เพราะแก่กว่าเกือบ 10 ปีแต่เทียบเขาไม่ติดในทุกๆ ด้าน
พอพักกินกาแฟ ก็เลยหาโอกาสเข้าไปถามเขาว่าทำไมถึงเก่งได้ถึงเพียงนี้ เคยไปอยู่อเมริกาหรือญี่ปุ่นมาหรือเปล่า คำตอบที่ได้ก็ยิ่งช็อกขึ้นไปอีก เพราะเขาไม่เคยไปเรียนต่างประเทศเลย ภาษาอังกฤษเรียนแต่เด็ก ภาษาญี่ปุ่นเริ่มเรียนตอน ม.ปลาย หลังจากจบมหาวิทยาลัยซึ่งเรียนเอกด้านภาษาแล้ว ก็เข้าโรงเรียนล่ามต่ออีก 2 ปีเท่านั้น
ที่ได้ภาษาจริง ๆ คือ ในโรงเรียนล่ามนี่เอง เพราะการสอนโหดมาก ครึ่งวันสอนเทคนิค ภาษา ศัพท์เฉพาะ และทฤษฎีในการล่าม
อีกครึ่งวัน เข้าบูธจำลองสถานการณ์แปลสดอัดเสียงมาเปิดให้เพื่อนและครูวิจารณ์ การบ้านแต่ละวันคือการเอาไฟล์ที่อัดเสียงที่ตัวเองแปลวันนั้นไปฟังซ้ำว่าพลาดตรงไหน
แล้วนำคอมเมนต์ของเพื่อน ครูและสิ่งที่ตัวเองฉุกคิดได้ขณะฟังซ้ำไปเขียนวิเคราะห์ว่าบกพร่องตรงไหน อะไร ยังไง แล้วนำมาส่งครูวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นการทวนศัพท์และปรับปรุงสำเนียงและลีลาการล่ามตัวเองไปในตัว
ฟังแล้วรู้เลยว่า ทำไมเขาถึงเก่งเพียงนี้ เพราะมีสถาบันที่เน้นเคี่ยวเชิงปฏิบัติไปพร้อมกับทฤษฎีคอยขัดเกลาฝีมือนั่นเอง
ที่จีนแทบไม่มีตลาดสำหรับล่ามพูดตามเพราะเสียเวลาลูกค้า (ฟังแล้วจุกเพราะเหมือนโดนตบหน้า) ล่ามทุกคนฝึกการทำล่ามพูดพร้อมมาโดยพื้นฐาน ถ้าทำไม่ได้ส่วนใหญ่ก็จะเรียนไม่จบโรงเรียนล่าม ไม่สามารถประกอบอาชีพนี้ได้ ตอนนี้การแข่งขันในวงการล่ามจีนยิ่งรุนแรง เพราะรายได้ดี คนอยากทำเยอะ ทำให้ล่ามที่ได้แค่ 2 ภาษา (จีน/อังกฤษ หรือ จีน/ญี่ปุ่น อย่างใดอย่างหนึ่ง) หางานยาก ต้องได้อย่างต่ำ 3-4 ภาษาถึงจะได้งานดีๆ (ส่วนใหญ่จะเป็น จีนกลาง/จีนกวางตุ้ง/อังกฤษ/ญี่ปุ่น)
ยิ่งเป็นล่ามผู้บริหารการแข่งขันยิ่งสูง แค่ภาษาดีอย่างเดียวไม่ได้ หน้าตาต้องดีด้วย เพราะถือเป็นหน้าเป็นตาของผู้บริหารคนนั้น ทุกคนเลยต้องรักษารูปร่างหน้าตาให้ดี แต่งตัวต้องเป๊ะ
ที่ผู้ชายเยอะ ก็เพราะเวลาตามผู้บริหารไปล่ามตอนเลี้ยงรับรองลูกค้าดึกๆ ต้องเข้าผับเข้าบาร์จะได้ไม่มีปัญหา
ที่ไม่มีล่ามแก่ๆ เพราะพออายุได้สัก 30 แล้ว ส่วนใหญ่ล่ามก็จะเบนเข็มเข้าทำงานสายบริหาร หรือไม่ก็เก็บเงินและสั่งสมความรู้เชิงธุรกิจระหว่างทำล่ามออกมาเปิดกิจการของตัวเอง
ที่สำคัญ ล่ามที่มางานนี้ยังไม่ถือว่าระดับท็อป เพราะถ้าตัวเด็ดจริงๆ พวกบริษัท IT ที่กำลังบูมสุดๆ อย่าง Foxconn, Xiaomi, China Mobile ฯลฯ จะดึงตัวไปจากโรงเรียนล่ามเลย ที่มาวันนี้ยังแค่ระดับรองท็อปเท่านั้น
เห็นล่ามหนุ่มๆ ออกมาจากห้องประชุมด้วยท่าทางชิลๆ คุยหัวเราะกันได้ปกติแล้วยิ่งสะท้อนใจ เพราะเราเหนื่อยสมองจากการแปลมาก สำหรับเรางานนี้โหดมาก ต้องแปลทั้งไทย-ญี่ปุ่น-อังกฤษ แบบ whispering สลับไปมาแทบตลอดเวลา ออกมาแทบไม่มีแรงทำอะไรอย่างอื่น
คืนก่อนก็นอนไม่พออีก เฟลตัวเองอีก รู้สึกเลยว่าในอนาคต งานที่ต้องการความสามารถในการแปลเหมือนพากย์โดยต้องใช้มากกว่าสองภาษาแบบนี้จะเยอะขึ้นเยอะ เพราะ
1.ไม่มีใครอยากเสียเวลาคุยกันสองเท่าเพื่อรอล่ามแปล 2.การร่วมทุนในระดับนานาชาติของธุรกิจใหญ่ๆ จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้งานล่ามต้องการความยืดหยุ่นทางภาษาเพิ่มขึ้น ล่ามที่แปลได้แค่สองภาษาจะหมดความหมายเพราะไม่ตอบโจทย์...
...วันนี้ทำให้เรารู้เลยว่าจริงๆ แล้วเมื่อเทียบในระดับโลก เรายังตัวเล็กกระจ้อยร่อยด้อยความสามารถมากๆ skill set ที่เรามีอยู่ก็เชยหลุดยุคไปแล้ว
แก่กว่าเขา แต่ความสามารถด้อยกว่าเขาหมด แม้แต่เรื่องภายนอกอย่างการแต่งตัวยังสู้เขาไม่ได้เลย เราแค่โชคดีที่การแข่งขันในวงการล่ามไทยยังถือว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับจีน เลยอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้...
สรุปแล้วคำพูดที่ว่า "ของที่ผลิตจากจีนคุณภาพห่วย" เป็นคำพูดที่เชยมาก
แสดงถึงทัศนคติอันแสนคับแคบ ล้าหลัง ของคนพูด เพราะนอกจากมือถือรุ่นใหม่จากจีนจะดูมี Innovation และคุ้มค่า คุ้มราคา กว่ามือถือค่ายพรีเมียมแล้ว
ล่ามที่จีนผลิตออกมา ยังมีคุณภาพสูงกว่าล่ามไทยชนิดเทียบกันไม่ติด.
ครับ...เอามาให้อ่านเพื่อฮึกเหิม มิใช่ให้เหี่ยว คนไทยเทียบติดแน่ เพราะเยาวชน-คนรุ่นใหม่ของเรามีคุณภาพ
แค่ยุบกระทรวงศึกษาฯ แล้วจัดระบบ
เด็กไทยพูด-เขียน-เรียน-อ่าน ๓ ภาษา ยังน้อยไปด้วยซ้ำ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |