สัปดาห์นี้ผมคาดว่าจะมีความคึกคักในกิจกรรมการทูตระดับสูงระหว่างเปียงยางกับปักกิ่งและระหว่างกรุงโซลกับวอชิงตัน
และอย่าได้แปลกใจหากโตเกียวก็มีความคึกคัก ต่อสายกับวอชิงตันอย่างรีบร้อน
แม้แต่มอสโกก็อยู่เฉยไม่ได้ ต้องเชื่อมต่อกับปักกิ่งและเปียงยางอย่างกระตือรือร้น
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการประชุมสุดยอดครั้งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างผู้นำของเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนืออีกรอบหนึ่ง
ประโยคเด็ดจากคิม จองอึน ของเกาหลีเหนือ ต่อหน้าประธานาธิบดีมุน แจอิน ของเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา
"เมล็ดพันธุ์แห่งสันติภาพและความเฟื่องฟูที่เราได้หย่อนเอาไว้นั้น วันนี้ได้เติบโตเป็นผลไม้แห่งฤดูใบไม้ร่วงแล้ว"
การพบกันรอบที่ 3 ระหว่าง 2 ผู้นำเกาหลีเหนือและใต้ที่กรุงเปียงยาง มีเนื้อหาเป็นรูปธรรมอย่างมีนัยสำคัญต่ออนาคตของโลก เกินความคาดหมายของหลายๆ ฝ่ายทีเดียว
ประธานาธิบดีมุน แจอิน ของเกาหลีใต้ บอกว่า คิม จองอึน แห่งเกาหลีเหนือกับเขาตกลงกันว่า
1.เกาหลีเหนือตกลงให้มีขั้นตอนที่ชัดเจนเป็นครั้งแรกในการเลิกโครงการนิวเคลียร์ด้วยการยอมให้ "ผู้สังเกตการณ์นานาชาติ" เข้ามาตรวจที่ตั้งและอุปกรณ์นิวเคลียร์ และเดินหน้ารื้อสถานีนิวเคลียร์ Yongbyon (ทรัมป์เขียนในทวิตเตอร์ว่าอาจจะต้องมีการเจรจารายละเอียดในขั้นสุดท้ายอีกทีหนึ่งก่อน และจากนี้ไปจะไม่มีการทดลองจรวดหรือขีปนาวุธจากเกาหลีเหนืออีก) ทั้งนี้ สหรัฐจะต้องทำตามข้อสัญญากับเกาหลีเหนือด้วยตามคำประกาศร่วมเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ระหว่างทรัมป์กับคิม
คำที่สำคัญที่สุดในแถลงการณ์นี้คือ การเปิดทางสู่การเลิกโครงการนิวเคลียร์ของโสมแดงอย่าง "ถาวร" (permanent dismantling)
2.เกาหลีเหนือและใต้จะร่วมกันเสนอเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกส์ 2032
3.คิมประกาศว่าจะไปเยือนกรุงโซล เกาหลีใต้ในเร็วๆ นี้...หากเกิดขึ้นจริงก็จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้นำเกาหลีเหนือมาเหยียบเมืองหลวงของเกาหลีใต้ (ครั้งแรกที่คิมเจอมุน แจอิน เมื่อต้นปี เกิดขึ้นที่ "เขตปลอดทหาร" หรือ Demilitarized Zone หรือ DMZ ตรงชายแดนระหว่าง 2 ประเทศ)
4.เกาหลีเหนือและใต้จะเชื่อมทางรถไฟเพื่อให้การคมนาคมสะดวกสำหรับคนทั้ง 2 ฝั่ง
แน่นอนว่า มุน แจอิน กำลังทำหน้าที่เป็น "กาวใจ" ระหว่างคิม จองอึน กับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังไม่มีกำหนดจะพบกันรอบที่ 2 วันไหน ที่ไหน และจะพูดกันเรื่องอะไร
เพราะตั้งแต่การประชุมสุดยอดของคิมกับทรัมป์ที่สิงคโปร์ เมื่อ 12 มิถุนายน แล้วก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรที่ชัดเจน เพราะต่างฝ่ายต่างตีความว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเดินก้าวแรกให้เห็นเสียก่อนเพื่อแสดงความจริงใจที่จะเดินไปสู่การยุติการเผชิญหน้ากันอย่างถาวร
คิมต้องการให้ทรัมป์ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร "อย่างถาวร" และประกาศยุติสงครามเกาหลีที่มีแต่เพียงข้อตกลงหยุดยิง แต่ไม่มีสัญญาเลิกสงครามอย่างเป็นทางการมากว่า 60 ปีแล้ว และคิมต้องการให้ทรัมป์ให้คำยืนยันมั่นเหมาะว่าจะรับรองความมั่นคงปลอดภัยของเกาหลีเหนือและตัวเขาเองจากการรุกรานของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม
ตีความได้ไม่ยากว่าคิมกำลังโยนลูกบอลกลับมาที่ทรัมป์อีกครั้ง
ขณะที่แสดงให้ชาวโลกได้เห็นว่าเขาสามารถแปรผันภาพลักษณ์ "ผู้นำกร้าวที่ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว" มาเป็น "นักการทูตชั้นเทพ" ที่สามารถเล่นเกมการต่อรองเจรจาอย่างคล่องแคล่วด้วยรอยยิ้มที่ทำให้หลายประเทศมีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
ใครจะเชื่อว่าในระยะเวลาอันสั้น คิม จองอึน สามารถทำสิ่งที่เคยเชื่อว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็น "ปรากฏการณ์เกินความคาดหมาย" ได้ถึงเพียงนี้
ประเด็นตามมาก็คือ ทรัมป์จะยอมตามเงื่อนไขของคิมเพียงใด และมุน แจอิน จะพยายามปิดช่องว่างระหว่างเปียงยางกับวอชิงตันได้มากน้อยเพียงใด
ผมแว่วๆ ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ไมค์ ปอมเปโอ ได้เกริ่นทำนองว่า จะขีดเส้นตายให้เกาหลีเหนือยุติโครงการนิวเคลียร์อย่างถาวรในปลายปี 2021 หรืออีก 3 ปีจากนี้ไป
นั่นจะเป็น “ไทม์ไลน์” หรือ “เส้นตาย” ที่ต้องต่อรองด้วยการเจรจากันอย่างไร เป็นประเด็นที่จะตัดสินว่าการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำมะกัน, เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จะบรรลุเป้าหมายได้หรือไม่อย่างไร
ผมเห็นว่าท้ายที่สุดแล้ว หากจะทำให้คำมั่นสัญญาทั้งหลายกลายเป็นความจริงได้จะต้องมีการประชุมสุดยอดของ 6 ฝ่ายที่เคยประชุมกันมาแล้ว แต่ล้มเหลวมาตลอด
นั่นคือผู้นำเกาหลีเหนือ, เกาหลีใต้, สหรัฐ, จีน, รัสเซียและญี่ปุ่นจะต้องนั่งลงวาด Road Map ไปสู่การสร้างสันติภาพอย่างถาวรสำหรับคาบสมุทรเกาหลีกันอย่างจริงจัง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |