หลายคนคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับตลกหนุ่ม "คิง ก่อนบ่ายฯ" เพราะนอกจากเล่นตลกแล้วยังมีงานละครอยู่เรื่อยๆ แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ เจ้าตัวเผยถึงเรื่องราวชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะต้องล้มลุกคลุกคลาน ติดพนัน กินเหล้า ทุบตีแฟน ผ่านรายการ คุยแซ่บShow
กว่าจะมีวันนี้ ชีวิตก่อนจะมาเป็น "คิง ก่อนบ่าย" เป็นยังไง?
คิง : ชีวิตผมล้มลุกคลุกคลานมาเยอะครับ ตอนนั้นผมเรียนช่างยนต์ พอเรียนจบก็ทำงานในพื้นที่ เป็นเซลล์ขายรถยนต์ แล้วก็หลังจากนั้นขึ้นมาเป็นผู้จัดการศูนย์รถยนต์ แต่ว่าด้วยช่วงนั้นเราเป็นวัยรุ่นเราก็ไม่มีความรับผิดชอบกับตัวเองสักเท่าไหร่ ก็ไปทำผู้หญิงท้อง ท้องในวัยเรียนอะไรแบบนี้ เราก็ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูเขา ก็ทำงานแล้วเลี้ยงดูเขาไปด้วย แล้วเราก็มีอาชีพเล่นตลกไปด้วย เล่นตลกตามงานบวช งานบุญ งานแต่ง ยกเว้นงานฟรีอย่างเดียวที่ไม่ค่อยไป ตอนนั้นประมาณช่วงอายุ 18 ค่าตัวเล่นตลกงานวัดคืนละ 300 บาท ตอนนั้นใช้ชื่อ "King ซุปเปอร์ฮา" ในการขึ้นโชว์ แล้วก็ใฝ่ฝันว่าอยากมีคณะตลกเป็นของตัวเองครับ งานก็จะมีเฉพาะเสาร์ อาทิตย์ เราจะรับได้แค่เฉพาะช่วงนั้น เพราะว่าวันปกติเราทำงานที่ศูนย์รถยนต์ครับ
ชีวิตช่วงนั้น ฟังดูเหมือนน่าจะดี?
คิง : ชีวิตน่าจะดีครับ แต่ว่ามันสายงานการบริหาร เราเลยรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา เพราะว่าเราชอบในเรื่องของตลกทะเล้น ตลกโปกฮาอะไรอย่างนี้ วันหนึ่งเราก็เล่นคอมพิวเตอร์แล้วก็เจอรายการก่อนบ่ายคลายเครียด เขาประกวดรับสมัคร ค้นคว้าหาดาวตลก เราสนใจก็เลยส่งประวัติไป แล้วเขาก็ตอบรับให้เรามาออดิชั่น ตอนนั้นคำว่าออดิชั่นเรายังไม่รู้จักว่ามันคืออะไร แต่คิดว่ามันน่าจะยิ่งใหญ่แน่นอน เหมือนถูกคัดเลือกมาแล้วอะไรแบบนี้ เราก็ดีใจที่ได้รับเลือก หลังจากนั้นเราก็เข้ามากรุงเทพฯ เตรียมอุปกรณ์ที่จะเล่นตลกมาอย่างดี แต่พอมาเห็นคนที่ถูกคัดเลือกมา เราอยากกลับบ้านเลยครับ มีประมาณ 600 กว่าคน เราก็คิดเลยว่าเราจะเอาอะไรไปสู้เขา แต่ไหนๆก็มาแล้ว ก็เลยเข้าไปรอการออดิชั่น แล้วเราก็ขึ้นโชว์เล่นมุกไปเรื่อยๆ จนจะลงสุดท้าย พ่อเป็ดก็ถาม ผมได้ยินว่า "นั่งลงได้ไหม?" ผมก็นั่งพับเพียบเลย แต่จริงๆแล้วเพราะเป็ดเขาถามว่า "เล่นหนังตะลุงได้ไหม?" คนก็ขำกันปรบมือให้ ปรากฏว่า เขาก็กดให้ผ่าน เราเข้ารอบ 30 คน เราก็เลยตัดสินใจว่าถ้าเราทำงานที่บริษัทแล้วเราเล่นตลกไปด้วย ทำงาน 2 อย่างเดี๋ยวมันจะไม่ได้ดีสักอย่าง ก็เลยตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพราะว่าตอนนั้นใจเราไม่ได้อยู่กับงานประจำแล้ว แล้วตอนหลังเราก็มาเรียนด้วยกันกับผู้เข้ารอบทั้ง 30 คน
แล้วชีวิตลงเหวตอนช่วงไหน?
คิง : คือเรามาจากตำแหน่งติดลบ ตอนเราทำงานเป็นผู้จัดการ เราก็มีหนี้สินที่จะต้องชำระ แล้วก็มีลูกที่จะต้องเลี้ยงดู แล้วตอนนั้นเราก็มีเมียคนที่สองอีก ในกรุงเทพเราไม่มีญาติพี่น้องไม่มีอะไรเลย ก็ไปอาศัยข้าวที่ออฟฟิศกิน เพราะตอนนั้นเราเข้ามาทำงานในตำแหน่งพนักงานขับรถของคณะเชิญยิ้ม คือในใจคิดเลยว่าถ้าเราสนิทกับทีมงานเมื่อไหร่ เดี๋ยวเราคงมีโอกาสได้ขึ้นเวที แล้วเราก็รอมาเรื่อยๆว่าเมื่อไหร่เราจะได้ขึ้นเวทีคาเฟ่ที่ใฝ่ฝัน คือพระราม 9 แล้วก็กรุงธนฯ จนวันหนึ่งพี่นุ้ยเปิดโอกาสให้เราได้ขึ้นไปเล่น ก็เล่นอยู่ได้สักประมาณ 1 เดือนซึ่งเป็นที่น่าจดจำมาก หลังจากนั้นก็ประกาศยุบวง เนื่องจากพี่นุ้ยงานทีวีเยอะ ก็เลยไม่ไหว และไม่รับคาเฟ่ ก็เอาเราไปฝากใว้กับอาจารย์ดู๋ ดอกกระโดน ซึ่งก็ไม่ใช่ทางเรา เพราะเราอยากจะใช้เชิญยิ้ม ก็เลยออก แล้วก็คิดว่าไม่เอาอีกแล้ว คิดจะกลับบ้าน เพราะว่าอยู่ที่นี่หนี้สินก็เยอะ ค่าใช้จ่ายก็เยอะมันไม่คุ้ม
เห็นว่าติดการพนัน จนชีวิตแทบไม่เหลืออะไรเลย เกิดอะไรขึ้น?
คิง : คือตอนนั้นพ่อเราได้ไปอยู่คาเฟ่ที่พระราม 9 มันก็จะมีพวกตู้ม้า ตู้สนุ๊ก เราก็เห็น แล้วค่าตัวมันก็ไม่พอเล่นคืนนึงออกทีนึงได้ 300 คือภาพที่เราคิดในหัวตอนที่อยู่ต่างจังหวัดกับภาพจริงๆมันต่างกัน อยากได้เงินเขา ก็ต้องเอาเงินเราไปแลก ก็เล่นเรื่อยๆค่าตัวได้มาเท่าไหร่ก็หมด ห้องก็ไม่ได้กลับ จนแฟนที่อยู่ด้วยเขาก็ทนเราไม่ไหว ก็เลิกกัน ก็ประมาณว่า ถ้านั่งกินนั่งสังสรรค์กันอยู่ ผมจับแก้ว คือน้ำตาร่วงเลย จริงๆเราก็ทำตัวเราเองด้วย คิดว่าแล้วหนทางของเราจากนี้มันจะเป็นยังไงต่อ ถ้าเรากลับบ้านเราก็อายเขาไหมอะไรแบบนี้
เครียดหนักถึงขนาดทะเลาะลงไม้ลงมือ ทุบตีผู้หญิงด้วย?
คิง : คือผมเมาครับ เราเป็นคนที่ดื่มด้วย แล้วบางทีเราแบบเครียด ไม่เข้าใจอะไรแบบนี้ บางทีอารมณ์หึงหวงของเราด้วย ทำให้เราลงมือตบตี เรื่องนี้กับเมียคนแรกเราก็ทำแบบนี้ พอมีครั้งแรกแล้วมันก็ต้องมีครั้งต่อๆมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะตอนที่เราดื่มขาดสติ คือเราคิดอยู่เสมอว่าผู้ชายต้องเป็นใหญ่ คุณต้องฟังผม คุณจะมาเถียงผมไม่ได้ ถ้าเถียงขึ้นมาผมตบเลย เขาดื้อผมก็ต้องลงไม้ลงมือ นั่นคือในความคิด ณ ตอนนั้น จนพอเขาทิ้งไป เราก็มาคุยกัน แล้วก็พาไปหาญาติผู้ใหญ่ทางฝั่งเขา แล้วก็คุยกันว่าเราขอจบกันด้วยดีนะ เรามันไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ แล้วก็ขอบคุณที่เขาดูแลเรามาอะไรต่างๆ มีการปรับความเข้าใจกัน แล้วก็ขอโทษเขาเรื่องที่ผ่านมาที่เราทำไม่ดีกับเขาอะไรประมาณนี้ครับ
หลังจากนั้นชีวิตก็เริ่มดีขึ้น เมื่อมาเจอภรรยาคนที่ 3 ?
คิง : ก็มีพี่ที่อยู่ในรายการก่อนบ่าย เขาทำร้านอาหารอยู่ที่เชียงใหม่ เขาบอกว่าเขามีพนักงานที่ร้านของเขา เป็นคนขยัน นิสัยดี อกหักมาเหมือนกัน เขาก็ติดต่อให้ผม แล้วผมเป็นคนขี้เหงา ผมไม่สามารถอกหักได้เกิน 3 เดือน แล้วเราก็เลยคุยกัน ชวนมาใช้ชีวิตด้วยกัน ถ้ามันไม่ใช่ก็ค่อยแยกกันไปอะไรแบบนี้ คือตั้งแต่วันแรกที่เขามาอยู่ที่บ้าน ผมออกไปทำงานผมกลับมา ผมเห็นบ้านสะอาดมาก เสื้อผ้าพับหมด ผ้าที่กองไว้เขาก็เอาไปซัก ซึ่งมันเป็นภาพที่แบบคนที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเรา ทำให้เราถึงขนาดนี้ กลายเป็นความประทับใจ คิดว่าถ้างานบ้านเขาเรียบร้อยแบบนี้เขาต้องดูแลชีวิตเราได้ เพราะในใจผมก็คิดว่าเราจะมีครอบครัวนี้เป็นครอบครัวสุดท้ายแล้ว คือจะต้องทำให้มันเป็นครอบครัวให้ได้ หลังจากที่ผ่านมาพังจากตัวเราเองทั้งนั้น แล้วผมก็สัญญากับเขาว่าผมจะเลิกทุกอย่าง ด้วยส่วนหนึ่งมีลูกอยู่ในท้องครับ แล้วผมก็แต่งงานกับเขาครับ
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะบอกอะไรกับตัวเอง?
คิง : ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมอยากจะบอกกับตัวเองว่า อย่าใช้ชีวิตประมาท แล้วก็เกเรเสเพลไหลหลากแบบนี้เลย ที่จริงควรตั้งเป้า แล้วรู้จักพอ ถ้าเรารู้จักพอให้ได้ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ การพนัน การดื่ม เรื่องผู้หญิง มันจะไม่มีเข้ามาทำให้เราประสบอุบัติเหตุในชีวิตของเราเลย เชื่อว่าคนทุกคนมีปมที่มันผิดพลาดกันได้ครับ
ขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจากอินสตาแกรม @kingkonbai
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |