(1)
นักจิตวิเคราะห์ชาวเยอรมัน ชื่อว่านาย “อีริค ฟรอมม์”แกเคยสรุปเอาไว้นานแล้วว่า...เมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษย์อย่างเราๆ-ทั่นๆได้เกิดความรับรู้ถึง “ความเป็นตัวตนของตน”ขึ้นมาชัดๆเมื่อไหร่ เมื่อนั้นนั่นแหละ...ที่มันจะเกิด “คำถาม”ผุดขึ้นมาในความรู้สึกนึกคิด อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เผ่าไหน พันธุ์ไหน ชาติไหน ภาษาไหน รวยหรือจนหรือมีสถานะใดๆก็แล้วแต่ คือคำถามประเภทว่า...อันตัวเรา-ของเรานั้น เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมถึงต้องเกิด ต้องเป็นอยู่และต้องตาย ตายแล้วไปไหน??? อะไรประมาณนั้น...
(2)
แต่คำถามที่ว่านี้...นอกจากใครต่อใครจะไม่สามารถให้ “คำตอบ”กับตัวเองได้ชัดๆ หรืออย่างที่ตัวเองพอใจแล้ว หนีไม่พ้นต้องหันไปใช้เวลาตอบคำถามในเรื่องอื่นๆ คำถามของครูบา อาจารย์ ในแต่ละชั้นเรียน ตั้งแต่ประถมไปยันมหาวิทยาลัย คำถามถึงตำแหน่ง แห่งที่ ในหน้าที่การงาน การประกอบอาชีพ ไปจนถึงคำถามในเรื่องสังคม เศรษฐกิจ การเมือง หรือเรื่อง โลกไปโน่นเลย ส่วนคำถามดั้งเดิมนับตั้งแต่ตัวตนของตันได้อุบัติขึ้นมาในความรู้สึก มันเลยเลือนๆไปตามลำดับ ลืมไปบ้าง เลิกสนใจไปแล้วบ้าง แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว...มันยังไม่ได้หายไปไหน!!! เมื่อถึงโอกาสเหมาะ จังหวะเหมาะ มันมักโผล่ขึ้นมา ให้คิด ให้หาคำตอบ ชนิดอาจทำให้ “คำถาม”อื่นๆ กลายเป็นเรื่องกระจอกงอกง่อยไปทันที ระดับแทบนำมาเทียบกันมิได้...
(3)
และการหันมาให้ความสนใจในการ “หาคำตอบ”ให้กับบรรดา “คำถาม”เหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้สิ่งที่เรียกๆกันว่า “ศาสนา”จึง อุบัติขึ้นมา นับตั้งแต่มนุษย์เริ่มรู้จักยืน 2 ขาเอาเลยก็ว่าได้ ส่วนจะเป็นคำตอบที่ถูก หรือผิด อันนั้น...คงต้องไปว่ากันอีกที แต่ถ้าลองเป็นคำตอบที่สามารถตอบสนองความพึงพอใจของแต่ละปัจเจกบุคคล แต่ละกลุ่มชุมชน เผ่าพันธุ์ อาณาจักรได้ เมื่อไหร่แล้วล่ะก็ ย่อมมีสิทธิ์กลายสภาพไปเป็น “ศาสนา”ได้เมื่อนั้น ไม่ว่าจะเรียกว่าศาสนาดั้งเดิม ศาสนาชุมชน อย่าง ประเภทลัทธิบูชาบรรพบุรุษ บูชาสัตว์ สิ่งของ ไปจนถึง “ศาสนาสากล”อย่างพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ฯลฯ เป็นต้น...
(4)
แต่ก็นั่นแหละ...ถึงแม้ศาสนาแต่ละศาสนาจะให้คำตอบต่อชุมชน สังคม อาณาจักร ประเทศ จนกลายเป็นศาสนาประจำประเทศ อาณาจักร สังคม หรือชุมชนนั้นๆ แต่ก็ออกจะเป็นคำตอบโดยคร่าวๆรวมๆ เพราะถ้าจะให้ลึกลงไปถึงขั้นสามารถตอบสนองความพึงพอใจของแต่ละปัจเจกบุคคลได้ครบถ้วน สมบูรณ์ ก็ขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคลนั้นๆเองนั่นแหละ ที่จะต้องนำเอาคำตอบนั้นๆมาประยุกต์ใช้ หรือมาใคร่ครวญ หวนคิด กันเอาเอง ผิดบ้าง ถูกบ้าง มั่วบ้าง เลอะเทอะไปบ้าง บิดเบน เบี่ยงเบนไปจากคำตอบที่แท้จริง มักปรากฏให้เห็นเสมอๆ แบบกรณี“อดีตทนายความ”เรียกหา “พระคัมภีร์ไบเบิล”ขณะนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงคนไข้ หรือขณะใกล้ตายเต็มที จนทำให้ญาติพี่น้อง ผู้เคยรู้จักมักจี่ อดกล่าวชมขึ้นมาไม่ได้ ว่าอย่างน้อยก็ยังคิดหวนกลับมาหา “ศาสนา”อยู่มั่ง แต่สุดท้ายก็ถูกหักมุมให้กลายเป็น “เรื่องโจ๊ก”หรือเป็นเรื่องขำขันกันแทนที่ เพราะการเรียกหา “พระคัมภีร์ไบเบิล”ของอดีตทนายฯตอนใกล้ตายนั้น ก็เพื่อคิดจะหา “ช่องโหว่ของกฎหมาย”หรือ “กฎแห่งกรรม”เอาไว้โต้แย้งกับยมบาล หรือเทวดา อะไรซะมากกว่า...
(5)
แต่โดยสรุปรวมความแล้ว...คำถามประเภทนี้ หรือจะเรียกว่า“คำถามแห่งชีวิต”ก็ย่อมได้ ยังไงๆมันคงต้องโผล่ขึ้นในความรู้สึกคิดของแต่ละปัจเจกบุคคล ไม่วันใด-วันหนึ่ง อยู่แล้วแน่ๆ ไม่ว่าจะพยายามกลบเกลื่อน ลืมๆเลือนๆไปยังไงก็ตาม และนั่นเอง...ที่ทำให้การเตรียมหาคำตอบ หรือการ “ทำการบ้าน”ในเรื่องทำนองนี้ให้มากๆเข้าไว้ จึงเป็นสิ่งสำคัญเอามากๆสำหรับใครๆก็ตาม ไม่ว่าจะรวย หรือจน ไม่ว่าจะมีสถานะใดๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ เพราะเมื่อไหร่ที่ “คำตอบ”ของตัวเองยังไม่ถึงกับชัดเจน หรือยังไม่อาจก่อให้เกิดความมั่นอก มั่นใจ ความพึงพอใจขึ้นมาได้จริงๆ อันนั้นนั่นแหละ...ความกระสับกระส่าย ความทุกข์ ความเดือดร้อน มันจะระดมกันมา ชนิดแทบไม่ต้องไปสนใจคิดในเรื่องอื่นๆ เพราะไอ้ความไม่มั่นอก มั่นใจ ไม่พึงพอใจทั้งหลาย มันจะเคี่ยวเข็ญ ทรมาน กระทำย่ำยีทุกสิ่งทุกอย่างภายในความคิด ความรู้สึก แบบที่ “ท่านพุทธทาสภิกขุ”ท่านเคยเตือนๆเอาไว้ก่อนนั่นแหละว่า... “เป็นบาปต่อเมื่อสำนึกบาป เมื่อยังไม่สำนึกบาป บาปก็ยังเป็นเหมือนน้ำผึ้ง น้ำตาลไปก่อน ครั้นสำนึกขึ้นมาเมื่อใด...นรกก็ผุดขึ้นมาในใจ อย่างกะระดมกันมา เขาก็เครียดครัด ทั้งหลับและตื่นเป็นธรรมดา อย่าทำเล่นกะบาปเลย เพราะมันจะสำนึกขึ้นมาในวันหนึ่งแน่นอน...”
(6)
ที่โดดขึ้นมาบนธรรมาสน์เทศนาเอาไว้ ณ ที่นี้...อันที่จริงคงไม่ได้มีอะไรมากมายหรอกทั่น ด้วยเหตุเพราะเห็นว่า ช่วงหลังๆนี้ใครต่อใครหันไปตั้งคำถามในเรื่องอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะมากมายเสียเหลือเกิน ทั้งเรื่องที่ได้เรื่อง ไม่ได้เรื่อง เรื่องที่เป็นเรื่อง และไม่น่าจะเป็นเรื่อง จนอาจลืมๆ “คำถามแห่งชีวิต”อันเป็นสิ่งที่แต่ละปัจเจกบุคคลพึงต้องหาคำตอบไปด้วยกันทั้งสิ้น และถ้าแต่ละคนแต่ละราย ไม่ว่าประเภทได้เรื่อง ไม่ได้เรื่อง เป็นเรื่อง หรือไม่เป็นเรื่องก็ตาม จะหันมาให้ความสำคัญกับ “คำถามแห่งชีวิต”เอาไว้บ้าง ก็อาจพอช่วยๆให้สังคมทั้งสังคม ไม่ถึงกับต้องกระสับกระส่าย ต้องทุกข์และเดือดร้อน มากมายจนเกินไป...
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |