'เกาะโต๊ะ' ประจานตัวเอง


เพิ่มเพื่อน    

      จะว่าไรมั้ย....

      ถ้าจะบอกว่า....

      วันนี้ขอรัก คุณจตุพร พรหมพันธุ์ สักวัน!

      ใครที่บอกว่าคุกสอนอะไรคนไม่ได้

      เห็นทีต้องเถียงให้คอขึ้นเอ็น

      เพราะอย่างน้อยหลังออกจากคุกมา "จตุพร พรหมพันธุ์" พูดถึง รัฐประหาร ความขัดแย้ง และคอร์รัปชัน ว่าเป็นเหตุผลระหว่างกันและกัน 

      คือว่า...วานนี้ (๑๙ กันยายน) วันครบรอบ ๑๒ ปีรัฐประหารโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) นำโดย "บังธิ-พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" ที่สุดท้ายไปเกลือกกลั้วอยู่กับพรรคเพื่อไทย นั้น "จตุพร  พรหมพันธุ์" สื่อสารผ่านโลกออนไลน์ ที่ฟังดูแล้วแทบจะเปลี่ยนไปจาก "จตุพร" คนเดิมอย่างสิ้นเชิง  

      ...หัวข้อที่ผมจะสนทนากับท่านทั้งหลายในวันนี้ คือ ๑๒ ปี ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ครบรอบ รอบหนึ่ง  ๑๒ ปี ดูเสมือนหนึ่งว่าเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาถึง ๑๒ ปี ถ้าถอยย้อนไปยังแถลงการณ์ฉบับที่ ๑ ซึ่ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ได้อ่านในเวลา ๒๓.๕๐ น. ของวันที่ ๑๙  กันยายน ๒๕๔๙ มีถ้อยคำเบื้องต้นอย่างนี้ว่า

        “ด้วยเป็นที่ปรากฏความแน่ชัดว่าการบริหารราชการแผ่นดินโดยรัฐบาลรักษาการปัจจุบัน ได้ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของชนในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะด้วยวิธีหลากหลายทุกรูปแบบ มีแนวโน้มนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ......” แล้วก็อธิบายความไปนั้น ตามความที่ปรากฏ

        และต่อมาหัวหน้าคณะรัฐประหารชุดนั้นได้อธิบายต่อตัวแทน ๗ องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนถึง ๕  เหตุผลของการยึดอำนาจ

        หัวข้อแรก ไม่ต้องการเห็นชาติบ้านเมืองแบ่งแยกเป็นภาค ประเทศไทยเคยเสียดินแดนมาแล้ว ๑๔  ครั้ง ทุกคนต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีแทนการแตกแยก

        สอง ที่ผ่านมามีการทุจริตประพฤติมิชอบ เป็นภัยต่อความมั่นคง ข้าราชการประจำต้องสร้างทัศนคติ อุดมการณ์ไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

        สาม ที่ผ่านมามีการแทรกแซงองค์กรอิสระ ทำให้ระบอบประชาธิปไตยไม่เข้มแข็ง

        สี่ ไม่มีความเป็นธรรมในสังคม

        ห้า รัฐธรรมนูญมีหลายเรื่องควรแก้ไขปรับปรุงให้สมบูรณ์มากขึ้น

        จากแถลงการณ์ฉบับที่หนึ่งจนกระทั่งเหตุผลที่มีการอธิบายในเวลาต่อมาของหัวหน้าคณะรัฐประหารในขณะนั้น เราก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเหตุผลหลักที่ได้อธิบายเหมือนกันทุกครั้งนั่นคือความแตกแยก ความวุ่นวายที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรง ถ้านึกถอยย้อนไปเวลานั้นก็มีการอธิบายกันว่า ถ้าไม่ยึดอำนาจในวันที่ ๑๙ กันยายน ปี ๒๕๔๙ นั้น คนไทยจะต้องฆ่ากัน เพราะฉะนั้นนะครับ เรื่องความไม่สงบนั้น จะถูกหยิบยกขึ้นมาทุกครั้งในสถานการณ์ของการยึดอำนาจ

        ผมเองก็เห็นว่าความหายนะของประเทศไทยเราได้เริ่มต้นในวันนี้เมื่อ ๑๒ ปีที่แล้ว แล้วเราเองก็ไม่เคยข้ามพ้นกับดักเหล่านี้ได้มาแม้แต่เพียงครั้งเดียว แม้ว่าในห้วงระยะเวลา ๑๒ ปี เราอาจจะมีรัฐบาลมาจากคณะรัฐประหาร ๒ ครั้ง มีนายกรัฐมนตรีซึ่งมาจากการเลือกตั้งอีก ๔ คนก็ตาม แต่ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ลุ่มๆ ดอนๆ กันมาโดยตลอด ไม่ได้มีอะไรที่จะปรากฏความมั่นคงทางการเมือง

        ผมเองได้เห็นถึงสถานการณ์อันนี้ แล้วก็เป็นบทเรียนที่เราจะต้องเดินกันต่อไปว่า เหตุผลต่างๆ ที่ถูกหยิบยกกันขึ้นมานั้น ท้ายที่สุดก็ยังอธิบายความกันไม่ได้เลยว่า ความแตกแยกที่จะทำให้คนไทยถึงขนาดจะต้องฆ่ากันนั้นเกิดมาจริงหรือไม่ถ้าไม่ยึดอำนาจวันที่ ๑๙ กันยายน ปี ๔๙

        การแทรกแซง การทุจริต หรือความไม่เป็นธรรม ปัจจุบันนี้นะครับนับมาถึง ๑๒ ปีนั้น เรายังมีปัญหาเดิมอยู่อีกหรือไม่ แต่ว่าเรื่องใหญ่ที่สำคัญที่สุดก็คือว่าถ้าเราลองถอยย้อนไปอ่านเหตุผลของการยึดอำนาจแต่ละครั้ง ไม่มีความแตกต่างกัน

        วันนี้เรากำลังเดินเข้าสู่สถานการณ์การเลือกตั้ง ซึ่งวันนี้ดูหน้าข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านก็บอกชัดเจนว่าพรรคที่ชนะจะได้จัดตั้งรัฐบาล แต่ก็นั่นอีกนั่นแหละครับ ว่าภายใต้รัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐  นั้น ให้วุฒิสภา ๒๕๐ เป็นผู้เลือกร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๕๐๐ คน ซึ่งเป็นระบบบัตรใบเดียว ซึ่งจะต้องใช้เสียง ๓๗๖

        เพราะฉะนั้นนะครับ ๑๒ ปีที่ผ่านมานั้น เรามีเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นมามากมาย วันนี้เราก็ต้องตั้งคำถามทบทวนตัวเองว่าเราจะให้ประเทศไทยอยู่กับความล้มเหลว อยู่กับกับดักสิ่งเหล่านี้ต่อไปกันอีกหรือไม่ เพราะเหตุผลที่ผมหยิบยกขึ้นมาอ่านให้ฟังนั้น ก็ยังเป็นเหตุผลอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกหยิบยกมาใช้เป็นเหตุผลของการยึดอำนาจ หรือจะไม่มีการเลือกตั้งก็ตาม ก็จะถูกหยิบยกเหตุผลเหล่านี้

        เพราะฉะนั้นในฐานะประชาชน ในฐานะคนที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียใดๆ ทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น ก็ต้องบอกกล่าวกับทุกฝ่ายว่า เมื่อเห็นเหตุผลต่างๆ ในเวลาที่อำนาจนอกระบบจะเข้ามานั้น เราทุกฝ่ายจะต้องไม่สร้างตัวเองให้เป็นเงื่อนไข มิฉะนั้นเราก็เดินเข้าสู่กับดักเช่นเดิมอีก.....

        ในหัวขบวนของระบอบทักษิณ ไม่เคยมีใครยอมรับตรงๆ ว่า คอร์รัปชัน คือสาเหตุของการทำรัฐประหาร 

      ที่แล้วมา เอาแต่โจมตีว่า "ระบอบอำมาตย์" ต้องการทำลายทักษิณ เพราะทักษิณเป็นที่รักของคนระดับรากหญ้า

      จึงถือว่า "จตุพร พรหมพันธุ์" มีความเข้าใจความเป็นมาและเป็นไปของการเมืองไทยช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาอย่างถ่องแท้

      และไม่มีการตัดตอนเหตุการณ์

      ไม่เริ่มต้นว่าความขัดแย้งมีจุดกำเนิดจากการรัฐประหาร

      ที่จริงการเข้าใจการเมืองไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อน เพราะไม่ว่าประเทศไหนในโลก เมื่อรัฐบาลเริ่มคอร์รัปชัน ประชาชนก็เริ่มต่อต้าน

      ดูอย่างรัฐบาล คสช.เอง เมื่อ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีเรื่องอื้อฉาวกรณี แหวนแม่  นาฬิกาเพื่อน การเคลื่อนไหวต่อต้านคอร์รัปชันมันก็เริ่มขยับ

      สถานภาพของ "บิ๊กป้อม" จึงไม่ต่างจากไส้ติ่งของรัฐบาล คสช.

      เก็บเอาไว้มีแต่โทษ!

      แต่...หากย้อนกลับไปตั้งแต่ ทักษิณ พาพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง และมาพร้อมกับประเด็นการคอร์รัปชัน ซุกหุ้นภาค ๑

      แล้วตามด้วยการทุจริตเชิงนโยบาย ผลประโยชน์ทับซ้อน สินบนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ละเมิดศาลถุงขนม ๒ ล้าน จังหวัดไหนเลือกไทยรักไทยจังหวัดนั้นได้รับการดูแลก่อน ฯลฯ

      ทักษิณ ไม่ใช่ไส้ติ่ง

      แต่เป็น "ปาก" ที่ยัดทุกอย่างลงท้อง

      และสิ่งที่เขมือบลงไปล้วนเป็นต้นเหตุนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองทั้งสิ้น

      ฉะนั้นผ่านมา ๑๒ ปีจนถึงวันนี้ และมองไปข้างหน้า หากทุกฝ่ายลดความขัดแย้งลง ไม่สร้างเงื่อนไขเพิ่ม ประเทศก็จะเดินหน้าไปอย่างเรียบร้อย

      ที่สำคัญใครทำอะไรไว้ในอดีต นอกจากไม่สร้างเงื่อนไขใหม่แล้ว ยังต้องสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไปด้วย

      แต่สำหรับคนไม่มีแผ่นดินอยู่อย่างนายทักษิณ สุดท้ายนิสัยไม่เคยเปลี่ยน

      เพิ่งจะบอกคนอื่นว่า ประเทศช้ำพอแล้วหรือยัง แค่ข้ามวัน ก็เปิดศึกกับ คสช. โดยเฉพาะ "บิ๊กป้อม"  เสียแล้ว

      ใกล้เลือกตั้งก็เหมือนใกล้เดือนเก้า เห่าหอนไปทั่ว

      เปลี่ยนจากเฟซบุ๊กเป็นทวิตเตอร์

      ทักษิณ ทวีตข้อความว่า

       "ท่าทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ. เลย"

      เรื่องมันสืบเนื่องจาก "บิ๊กป้อม" สวนกลับ "ทักษิณ" จากโพสต์ครบรอบ ๑๒ ปีรัฐประหาร คมช.เมื่อวันก่อน ที่ "บิ๊กป้อม" บอกว่า

        "บ้านเมืองที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะใคร แต่ไม่ใช่พวกเราแน่นอน เพราะพวกเราไม่ได้เกี่ยวข้อง  เราออกมาแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติ"

        ก็ชกกันคนละหมัด

      ถ้า "น.ช.แม้ว" กับ "บิ๊กป้อม" จะด่ากัน ๒ คน ก็เชิญตามสะดวก เพราะประเทศไม่ได้อะไร

      แต่มันมีประเด็นที่สะท้อนให้เห็นถึงความอัปยศของระบอบทักษิณ นั่นคือการเป็น ผบ.ทบ.ของ "บิ๊กป้อม" เมื่อปี ๒๕๔๗

      วันนี้สังคมได้รับรู้ว่า.....

      เพราะ "บิ๊กป้อม" ไปเกาะโต๊ะ แล้ว "ทักษิณ" ก็ให้เป็น ผบ.ทบ.

      สมัยทักษิณตั้งข้าราชการระดับสูงกันอย่างนี้หรือ?

      ใช้หลักเกณฑ์อะไร?

      มีวันนี้เพราะพี่หรือน้องให้ เป็นเรื่องธรรมดาในสมัยนั้นใช่หรือไม่?

      สุดจะระยำ!

      งานนี้ "ทักษิณ" ตั้งใจประจาน "บิ๊กป้อม" ว่า ได้เป็น ผบ.ทบ. เพราะมาเกาะโต๊ะ ด้วยท่าทีนุ่มนวลอ่อนหวาน

      ในความเหนือกว่าเพราะตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี "ทักษิณ" หยิบเอาสถานการณ์นั้น มาตอกย้ำความเหนือกว่า เพื่อสั่งสอน "บิ๊กป้อม"

      นี่คือทัศนคติมาตรฐานของทักษิณ สะท้อนความเป็นพ่อค้าการเมือง ที่คำนึงถึงผลประโยชน์ตนเองเป็นหลัก ระบบระเบียบของประเทศไม่สนใจ

      จะให้สรุปว่าไงดี?

      คนที่ยอมประจานตัวเอง เพื่อประจานคนอื่น จะแปลความเป็นอะไรได้อีก นอกจาก...

      เอ็งชั่วข้าเลว.

                                                      ผักกาดหอม


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"