เที่ยวไทเปกับคนบนฟ้า 


เพิ่มเพื่อน    

 “หลงซานซื่อ” หรือวัดเขามังกร วัดสำคัญและเก่าแก่ของไต้หวัน ตั้งอยู่ในเขตวั่นหัว กรุงไทเป

สองปีที่แล้ว ก่อนที่ทางการไต้หวันจะยกเลิกการขอวีซ่าเข้าประเทศสำหรับคนไทยเพียง 1 หรือ 2 สัปดาห์ ผมก็ใช้วีซ่าแคนาดาที่สามารถเดินทางเข้าไต้หวันได้โดยได้รับการยกเว้น (เพื่อจะคุยได้ว่าใช้ประโยชน์จากวีซ่าแคนาดาอย่างเต็มที่) แต่จำได้ว่าต้องดำเนินการผ่านระบบออนไลน์และปรินต์เอกสารล่วงหน้า และประสบปัญหาเพราะอินเตอร์เน็ตทางโน้นล่ม วุ่นวายจนเกือบเสียค่าตั๋วเครื่องบินฟรีๆ ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงก่อนการเดินทาง   

วันหนึ่งของปลายกรกฎาคม 2559 โบอิ้ง 777 ร่อนลงบนรันเวย์ของสนามบินเถาหยวน ตอนประมาณ 8โมงเช้า นับได้ 3 ชั่วโมงกว่า ๆ ที่ออกมาจากดอนเมือง ผมหลับไปบ้างบนเครื่องบิน นั่นเท่ากับเวลาทั้งหมดที่ได้นอนรอบ 30 กว่าชั่วโมง ลงจากเครื่องแล้วก็ผ่านตรวจคนเข้าเมืองของไต้หวัน และเพราะไม่มีสัมภาระโหลดใต้เครื่องบิน ก็ออกไปมองหาป้ายสัญลักษณ์รถบัสเข้าเมือง แต่ขั้นแรกต้องหาตู้เอทีเอ็มก่อน

ผมไม่มีเวลาไปแลกเงินดอลลาร์ไต้หวันที่สถานรับแลกราคาดีๆ และไม่ยอมแลกอัตราเลือดซิบที่สนามบินทั้งที่ดอนเมืองและเถาหยวนนี้ หวังมากดเงินด้วยบัตรเดบิตจากเอทีเอ็มได้เรตเท่าอัตราแลกเปลี่ยนประจำวัน บวกค่าประกันความผันผวนของค่าเงินประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ และเสียค่าบริการครั้งละ 100 บาท แต่ก็ยังดีกว่าแลกตามสนามบินหรือสถานีรถไฟและขนส่งทั่วไปอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเงินดอลลาร์ไต้หวันไหลออกมาจากเครื่องอย่างว่าง่ายแล้วก็เดินไปหาเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ผมถามถึงบัตรอีซี่การ์ด หลายท่านที่ไปเที่ยวมาก่อนแนะนำว่าอีซีการ์ดจะทำให้การเดินทางท่องเที่ยวในไต้หวันสะดวกสบายขึ้น นอกจากจ่ายค่ารถค่าราได้แล้วก็ยังจ่ายในร้านสะดวกซื้อได้ด้วย เจ้าหน้าที่สาวบอกว่าต้องไปซื้อที่ “ไทเปเมนสเตชั่น” (Taipei Main Station) ที่นี่มีแต่บัตรชนิดอื่น จึงเดินออกจากอาคารผู้โดยสารลงไปยังชานชาลารถบัสเข้าเมือง เห็นมินิมาร์ทผมก็เดินเข้าไปจะซื้อน้ำดื่ม ตอนแรกตั้งใจจะไปกินอาหารเช้าในไทเป แต่มีโอเด้งขายในร้านนี้ด้วยจึงตักใส่ถ้วยมาหลายไม้หลายชิ้นเพราะความหิว แล้วออกไปนั่งกินรอรถบัส

 มองจากด้านข้างของประตูวัดหลงซาน

ระหว่างนั่งกินโอเด้งรถบัสก็วิ่งเข้ามาเทียบจอด รีบกินจนหมดและโชคดีที่รถยังไม่ออก วิ่งไปซื้อตั๋วราคา125 ดอลลาร์ไต้หวัน ซึ่งก็ตกประมาณ 140 บาท (1 ดอลลาร์เท่ากับประมาณ 1.1 บาท) ถือว่าคุ้มค่าที่ได้อิ่มท้องและทันบัสเข้าเมือง 

ประมาณ 45 นาที รถก็มาจอดข้างอาคารขนาดใหญ่ ได้ยินเสียงจากลำโพงบนรถบัสขานว่า Taipei East Gate เมื่อเห็นคนลงกันหมดผมก็ลงด้วยแล้วเดินเข้าสถานีไปทำความเข้าใจกับแผนที่อยู่นานหลายนาที ก่อนจะได้ซื้ออีซี่การ์ด และนั่งรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงิน มีตัวย่อ MRT เหมือนบ้านเรา นั่งไปเพียง 1 สถานี ถึงXimen Station ออกทางประตู 6 แล้วเดินไปตามแผนที่ในใบจองที่พัก

เวลาราว 11 โมง ก็ถึง Royal Hours Delux Inn เข้าเช็กอินแต่ยังเข้าพักไม่ได้เพราะยังไม่ถึงเวลา 4โมงเย็นตามระเบียบของโรงแรม จึงได้แค่ฝากกระเป๋าแล้วไปนั่งดื่มกาแฟร้านในย่านซิเหมินติง (Ximending)ใกล้ๆ สถานีรถไฟใต้ดินพอให้ร่างกายตื่นขึ้นมาได้บ้าง จากนั้นก็เดินผ่านหน้าสถานี MRT ไปยัง “บ้านแดง” หรือ Ximen Red House

เดิมทีอาคารอิฐแดงนี้เป็นตลาด สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1908 สมัยที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดไต้หวันหลังชนะ “สงครามจีน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1” ได้สิบกว่าปี มีลักษณะเป็นอาคาร 8 เหลี่ยมและเชื่อมกับอาคารรูปไม้กางเขน หลังญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้กลายสภาพเป็นโรงละครและสถานบันเทิง ปัจจุบันชั้นล่างจัดแสดงนิทรรศการประวัติของอาคาร อีกทั้งมีร้านกาแฟ คาเฟ่ศิลปะ ร้านขายเสื้อผ้า-ของระลึกที่เน้นการออกแบบ ชั้นบนจัดให้มีการแสดงต่างๆ บ้างเป็นครั้งคราว ส่วนที่เป็นอาคารรูปไม้กางเขนมีบริษัทมารับจัดคอนเสิร์ตต่างๆ ในช่วงสุดสัปดาห์ ขณะที่ด้านหลังของตึกมีบาร์เครื่องดื่มหลายร้าน รอเปิดหลังพระอาทิตย์ตก

รายละเอียดความประณีตบางส่วนของศิลปกรรมวัดหลงซาน  

มีข้อมูลที่ผมรับทราบทีหลังว่าอาคารแห่งนี้ยังได้จัดนับถอยหลังรับวันปีใหม่ของชาวเกย์ในทุกๆ ปี อีกทั้งยังใช้เป็นสถานที่ประกวด “Taipei Pride” และ “Mr. Gay World Taiwan” ทำให้ละแวกนี้ในบางเวลาคงจะชุกชุมไปด้วยชาวสีม่วงและสีรุ้ง หรือเรียกกันว่า LGBT ในปัจจุบัน (LGBT : Lesbian-Gay-Bisexual-Transgender)

เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเข้าพักในโรงแรม ผมตัดสินใจลงรถไฟ MRT ไปหนึ่งสถานี โผล่ที่สถานีวัดหลงซาน

วัดหลงซาน หรือ “วัดเขามังกร” สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1740 ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง วัดได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติและภัยสงครามมาหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถูกทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนพระอุโบสถพังยับเยิน ทว่าองค์พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมภายในพระอุโบสถกลับไม่ได้รับความเสียหาย ยิ่งทำให้ผู้คนเพิ่มศรัทธาเลื่อมใสและเดินทางมากราบไหว้สักการะกันมากขึ้น

ผมเดินชมวัดอยู่ไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็กลับออกมา บริเวณทางเชื่อมใต้ดินระหว่างวัดกับสถานี MRT มีร้านอาหารและร้านชากาแฟหลายร้าน บางร้านมีกลุ่มผู้สูงอายุรวมตัวนั่งสนทนากัน คล้าย ๆ กับที่พบเจอในฟู้ดคอร์ตตามห้างสรรพสินค้า หรือร้านกาแฟในห้างโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ อย่างบิ๊กซีหรือโลตัสในบ้านเรา

ไม่แน่ใจว่าผู้อาวุโสเหล่านี้จะคุยกันเรื่องอะไรบ้าง อาจจะเรื่องความหลัง ความห่วงกังวลเกี่ยวกับชาติบ้านเมือง เรื่องของลูกหลาน หรือรวมๆ กันทุกเรื่อง บางร้านที่ผมเห็นมีแต่ผู้อาวุโสเท่านั้นเต็มร้าน คุยกันเสียงอึงมี่ ออกรสชาติ เป็นภาพที่น่าดูไปอีกแบบ

 ยอดหลังคาของวัดเขามังกรเต็มไปด้วยมังกร

ผมกลับมาถึง Royal Hours Delux Inn ราวบ่าย 3 โมง ห้องพักพร้อมแล้วก่อนเวลาเช็คอิน 4 โมงเย็นตามที่ระบุในใบจอง จึงเข้าไปนอนกะหลับให้ยาวไปถึงสองสามทุ่ม ที่ไหนได้ไม่ถึง 5 โมงเย็นก็ตื่น บิดขี้เกียจอยู่ครู่เดียวก็อาบน้ำออกไปหาอาหารเย็นรับประทาน

 ตลาดซิเหมินติงกินพื้นที่กว้างขวาง เป็นย่านถนนคนเดินแห่งแรกของไต้หวัน เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและการเที่ยวกลางคืน มีร้านรวงให้ช็อปปิ้งแน่นขนัด ร้านอาหารก็มาก บรรดาของกินแบบแผงลอยเปิดเฉพาะเวลาเย็นค่ำก็เยอะ อาหารค่อนข้างมีความหลากหลาย ผมต่อคิวร้านปลาหมึกทอด ไก่ทอด และเห็ดทอด ที่อยู่ในร้านเดียวกันโดยการรับบัตรคิวแล้วรอเรียกไปชี้ว่าจะเอาอะไร เมื่อถึงคิวของผมก็เหลือเฉพาะไก่ทอดชุดเล็กจากที่ตั้งใจจะกินปลาหมึกและเห็ด

ได้ไก่ทอดแล้วผมก็เดินกินไปเรื่อยๆ (ไม่รู้ว่าผิดกฎหมายหรือเสียมารยาทชาวเมืองเขาหรือเปล่า) ผ่านย่านบาร์หลังตึกแดงที่เล็งไว้เมื่อตอนกลางวัน ยังไม่ค่อยมีคน จึงเลยไปยังถนนใหญ่ใกล้ๆ กัน เจอป้ายรถเมล์ก็นั่งลงกินที่ม้านั่งรอรถเมล์จนไก่เกลี้ยง ตรงข้ามป้ายรถเมล์เป็นมินิมาร์ทเลยเดินข้ามถนนไปซื้อเบียร์ญี่ปุ่นที่ราคาถูกกว่าญี่ปุ่นถึง 2 เท่า แล้วเดินจิบไปเรี่อยๆ ก่อนจะวกเข้าไปยังย่านตลาดอีกครั้ง

เด็กๆ ไต้หวันเดินกลับออกจากวัดอย่างเป็นระเบียบไปขึ้นรถบัสกลับโรงเรียน

ผมอยากได้แว่นดำเพื่อผจญแสงแดดในการไปเที่ยวหมู่บ้านแมววันรุ่งขึ้น เดินเข้าไปดูที่ร้านหนึ่ง ราคา250 ดอลลาร์ไต้หวัน ตัดสินใจซื้อทันที ลุงคนขายพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก แกเคยไปเมืองไทยหลายครั้ง พูดคำว่า “ขอบคุณ” และ “ห้องน้ำ” ได้หลายภาษา บอกว่าเป็นคำที่สำคัญที่สุดระหว่างการเดินทาง แล้วสอนผมให้รู้จักห้องน้ำในภาษาจีน

ลุงถามว่า “เดินทางกับใคร ?” ตอบลุงว่า “คนเดียวครับ ผมชอบเดินทางคนเดียว” ลุงว่า “เราไม่รู้หรอกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว ไม่ได้เดินทางคนเดียว อาจมีคนบนฟ้าอยู่กับเราด้วย มีหลายสิ่งหลายอย่างที่อธิบายไม่ได้ เราจำเป็นที่จะต้องมีคนบนฟ้าดูแล เพราะเรา – มนุษย์นั้นมีความจำกัดในหลายๆ ด้าน ซึ่งคนบนฟ้าช่วยเราได้” ก่อนปิดท้ายว่า “โอเค บ๊ายบาย” แล้วแกก็เดินไปอีกมุมของร้าน

ผมเดินกลับไปย่านบาร์หลังตึกแดงอีกครั้ง ตัดสินใจนั่งที่ร้านหนึ่ง สั่งซานมิเกลแบบเบียร์ดำมาหนึ่งไพนต์ หนึ่งในพนักงานของร้านแนะนำให้ไปเที่ยว Babe 108 ระบุว่าเป็นผับดัง แต่ห่างออกไปพอสมควร ต้องนั่งเมโทร ผมขอบคุณและบอกว่า “ไม่ดีกว่า” พอเช็กดูในอินเตอร์เน็ตหลังจากนั้นก็พบว่ามันคือไนท์คลับ เปิดเพลงแดนซ์อีดีเอ็มที่ผมไม่นิยมแถมยังมีค่าเข้าประมาณ 700 ดอลลาร์

บริเวณทางเดินเชื่อมระหว่างสองฝั่งของหมู่บ้านแมวหูตง

พนักงานของร้านเป็นผู้ชายทุกคน รวมถึงเพื่อนๆ ของพวกเขาที่เป็นลูกค้าของร้านนั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ บาร์เคาน์เตอร์ก็ล้วนเป็นผู้ชาย

หากทราบข้อมูลเรื่องการเคาต์ดาวน์ปีใหม่และการประกวดชายงามมาก่อน ผมคงเสียวสันหลังและสังเกตสังกาอะไรมาเล่าได้มากกว่านี้

อย่างไรก็ตาม พวกเขาเป็นมิตรอย่างมาก หลายคนชวนให้นั่งโต๊ะเดียวกัน ผมกำลังจะเดินออกไปพอดี บอกพวกเขาว่าอาจจะกลับมาใหม่ แต่เดินเล่นอยู่ในย่านตลาดสักพักก็ซื้อเบียร์เยอรมันและญี่ปุ่นจากมินิมาร์ทกลับที่พัก

รีเซ็พชั่นเปลี่ยนจากสาวทอมเป็นสาวสวยหน้าตาดีแต่บึ้งตึง ตาจ้องคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา และเอาหน้าเข้าไปใกล้จอมากๆ หากุญแจห้องที่แขกฝากไว้ไม่ค่อยเจอ เธอคงสายตาสั้น แต่ไม่ใส่แว่น ผมถามราคาห้องพักสำหรับวันพรุ่งนี้ ได้รับคำตอบว่าแพงกว่าที่ผมจ่ายวันนี้ประมาณ 200 ดอลลาร์ ผมจึงจองกับเว็บไซต์รับจอง และได้ราคาเดิม

 มีแมวอยู่ทุกมุม

เสียงคล้ายคอมเพรสเซอร์แอร์ ดังเป็นระยะๆ จนต้องตื่นตั้งแต่ 7 โมงกว่าๆ ออกไปซื้อโอเด้งในร้านสะดวกซื้อกินเป็นมื้อเช้าแล้วกลับมานอนต่อ กว่าจะหลับลงได้อีกรอบก็แสนยากเย็น ตื่นใหม่ราว 11 โมง พบว่าเสียงที่ดังนั้นมาจากก๊อกน้ำของอ่างล้างหน้าแปรงฟันที่ตั้งอยู่ด้านนอกห้องเป็นแถวยาว หากเอาผนังกั้นห้องออกก็ติดกับกับหัวนอนผมเลย  

ห้องประเภทที่ผมพักซึ่งราคาถูกสุดจนอยู่ใกล้แผงก๊อกน้ำนี้ พอคนเปิดทีหนึ่งจะได้ยินเสียงสนั่นหวั่นไหว คงเพราะปั๊มน้ำมีกำลังแรงมาก หลังอาบน้ำแต่งตัวผมก็ออกไปจ่ายเงินสำหรับค่าห้องที่จองไว้ตั้งแต่เมื่อคืน สาวทอมคนเดิมรับชำระเงิน สาวสวยสายตาสั้นออกกะไปแล้ว 

 โถงทางเดินระหว่างสองฝั่งของหมู่บ้านแมว มองจากระยะไกลก็ไม่แคล้วเป็นรูปแมว

รถไฟจาก “ไทเปเมนสเตชั่น” ไปหมู่บ้านหูตง (Houtong) เป็นรถไฟธรรมดา ค่าตั๋วแค่ 56 ดอลลาร์ไต้หวัน แต่ผมนั่งหลับจนเลยสถานีที่ต้องเปลี่ยนขบวนและไปตื่นที่สถานีสุดท้ายชื่อ “จี้หลง” (Keelung) ซึ่งเป็นเมืองติดทะเลทางทิศเหนือ เจ้าหน้าที่รถไฟแนะให้นั่งขบวนเดิมกลับไปลงที่สถานี Badu แล้วรอรถอีกขบวน เจ้าหน้าที่ Badu ก็บอกให้นั่งขบวนใหม่ไปอีก 4 สถานี กำชับว่าลงหลังจากสถานีรุ่ยเฟิง (Ruifang)ซึ่งสถานีรุ่ยเฟิงนี้เป็นอีกหนึ่งสถานีที่นักเที่ยวลงกันเยอะเพราะต้องต่อรถบัสไปหมู่บ้านจิ่วเฟินที่โด่งดัง

ถึงสถานีหูตงก็รู้ทันทีว่าเป็นสถานีแห่งหมู่บ้านแมว เพราะตกแต่งสถานีด้วยอะไรแมวๆ เต็มไปหมด.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"