ไฟฟ้า-กาแฟจาก 'กรณ์' ถึง 'ปตท.'


เพิ่มเพื่อน    

    ข่าวพวกนักการเมืองนั่นน่ะ ติดตามได้ แต่อย่าไปหมกมุ่น-จริงจังกับมัน

                นายพีท ที่ว่า "ลวงโลก" เรื่องหวย ๙๐ ล้านนั่น

            เป็นเรื่องคนลวงกับคนโลภมาบรรจบกัน ก็ยังแค่หนเดียว

            สู้พวก "นักเลือกตั้ง" อาชีพไม่ได้

            ร้อยละ ๕๐-๖๐% เป็นนักเล่านิทานประชาธิปไตยลวง มีทั้งหน้าเก่า-หน้าใหม่

            สืบสายพันธุ์ ลิ้นแฉก ลายดอก หางยาว ไปทางไหน ก็ตวัดลิ้น ฟาดหางตูมตาม สร้างรังเกียจไปทั่ว

            เรียกว่า หนังหนา-หน้าด้าน-หน้าเดิม

            และ "ลวงโลกซ้ำซาก"

            แต่ก็แปลก ยังมีคนบางพวก ยอมเป็นเหยื่อให้พวกมันหลอกครั้งแล้ว-ครั้งเล่า ไม่รู้จักเจ็บ-จักจำ

            เมื่อวาน (๑๔ ก.ย.๖๑)

            คสช. "คลายล็อก" ให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม เตรียมสู่การเลือกตั้ง ๒๔ กุมภา ๖๒ แล้ว

            ระหว่าง "กฎหมายลูก" ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. "แช่เย็น ๙๐ วัน" ก่อนมีผลใช้ตามกฎหมาย

            ช่วงนี้ ถือเป็นช่วง "สุกดิบ"

            ให้แต่ละพรรค ไปอาบน้ำ ประแป้ง แต่งตัว กันให้เสร็จสรรพ รอการ "ปลดล็อก" เมื่อพ้น ๙๐ วัน  ประมาณ ๑๒ ธันวา

            จากนั้น จะได้ไปหาเสียงชิงอำนาจกินบ้าน-กินเมืองกันให้สุดฤทธิ์-สุดเดช สู่วันที่ ๒๔ ก.พ.

            เลือกตั้งครั้งนี้.........

            พวกเรา "เหยื่อนิทานประชาธิปไตยซ้ำซาก" แยกแยะกันให้ดีนะ ว่าคนไหน "นักการเมือง" คนไหน "นักเลือกตั้ง"?

            อย่าเลือกพวก "นักเลือกตั้ง"

            พยายามเลือก "นักการเมือง"

            ส่วนคนไหนเป็นนักการเมือง จะสังเกตได้จากบทบาท-การทำงาน ผ่านๆ มา

            "นักการเมือง" นั้น ได้อำนาจจากประชาชนแล้ว ชั่วดีถี่ห่าง จะไม่มีพฤติกรรมโกงกิน

            จะเอาอำนาจที่ประชาชนมอบให้ ไป "สร้างบ้าน-สร้างเมือง" สานสำเร็จให้สังคมชาติ ช้าบ้าง-เร็วบ้าง เป็นอีกเรื่อง

            ตรงข้ามกับนักเลือกตั้ง ..........

            เห็นมั้ย...ยังไม่ทันไร ประกาศ พวกกูเข้าไปแล้วจะฉีกรัฐธรรมนูญบ้าง จะล้มยุทธศาสตร์ชาติ ล้ม  EEC บ้าง จะชำระบัญชีแค้นบ้าง

            เรียกว่ากะเข้าไปบู๊ล้างผลาญ สานนโยบาย "ขายบ้าน-กินเมือง" ต่อ ให้เห็นลายหางกันชัดๆ ตั้งแต่ตอนนี้แล้ว!

            พักเรื่องการเมือง มาสู่เรื่องของผมบ้าง.....

            เมื่อวาน อดีตรัฐมนตรีคลัง "นายกรณ์ จาติกวณิช" เขียนจดหมายถึงผม

            ยืนยันความคิดเห็นเรื่องบริษัทลูก ปตท.ซื้อหุ้น GLOW และเปิด Cafe Amazon

            เมื่อผมมีความเห็นเชิงวิจารณ์ไป คุณกรณ์ชี้แจงมา ผมยินดีเผยแพร่คำชี้แจง ดังนี้

            เรียน คุณเปลว สีเงิน ที่เคารพ

            ผมได้อ่านที่คุณเปลวเขียนวิจารณ์แนวคิดผมเรื่อง ปตท.แล้ว และเคารพในมุมคิดที่ต่างกันในเรื่องนี้  และเนื่องจากผมมองว่าหลักการของเรื่องนี้มีความสําคัญ ผมจึงขออนุญาตอธิบายเผื่อว่าคุณเปลวอาจจะเข้าใจผมมากขึ้น

            สังคมเราพูดกันเยอะเรื่องโอกาสการทํามาหากินของชาวบ้าน เรื่องอิทธิพลทุนใหญ่ และเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งสําหรับผมหนึ่งในเงื่อนไขสําคัญในการแก้ปัญหาเหล่านี้คือการมีระบบการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม และศัตรูของความเป็นธรรมคือ "ระบอบอุปถัมภ์" ที่เอื้อทั้งกับทุนใหญ่เอกชนและกับหน่วยงานของรัฐ ระบอบนี้ถูกเสริมอย่างเป็นระบบผ่านหลักสูตรต่างๆ ที่แย่งชิงกันเข้าเรียน ไม่ว่าจะเป็น  วปอ., วตท. หรือ วพน. (ที่มี ปตท.เป็นโต้โผใหญ่)

            ประเทศไทยเรามีครบทุกกลไกที่จะกํากับให้การแข่งขันเป็นธรรม แต่ก็พบกับปัญหาเดิมๆ คือความล้มเหลวในการบังคับใช้ เรามีกฎหมาย พ.ร.บ.การแข่งขัน (ที่ไม่เคยมีการบังคับใช้แม้แต่ครั้งเดียว) เรามีคณะกรรมการชุดต่างๆ (เช่น กกพ. และ กสทช.) ซึ่งคุณเปลวก็รับทราบดีอยู่แล้วว่ามีปัญหาอย่างไรมาแทบทุกยุคทุกสมัย และเราก็มีรัฐธรรมนูญที่ผมได้อ้างถึงโดยมาตรา ๗๕ ห้ามรัฐทําธุรกิจแข่งกับเอกชน  แต่ก็ปรากฏว่านับวัน "ความเสมอภาค" ในการแข่งขันก็ดูเหมือนมีแต่จะแย่ลง

            ดังนั้นผมจึงได้ยื่นร้องเรียนต่อท่านนายกฯ เพราะปัญหานี้เป็นปัญหาระดับนโยบาย หากเราเอาจริงกับการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เสรีและเป็นธรรม เราต้องเริ่มกับหน่วยงานของรัฐเอง ในประเด็น GPSC  ซื้อ Glow นั้น ไม่ได้เป็นเพียงผมที่แสดงความกังวลต่อการผูกขาดที่จะเกิดขึ้น กลุ่ม SCG รวมไปถึงผู้ประกอบการในนิคมมาบตาพุดอีก 10 รายได้ถึงกับทําหนังสือร้องเรียนถึง กกพ. และรัฐบาลให้ระงับแผนการซื้อหุ้นโดย ปตท. ซึ่งประเด็นที่เขาร้องเรียนคือเขาจะถูกบังคับให้มีสภาพที่ต้องจํายอมเป็นลูกค้าของคู่แข่ง (คือ ปตท.)

            คุณเปลวอาจจะบอกว่า GPSC ไม่ใช่ ปตท. และได้พูดถึงสัดส่วนหุ้น 22% ที่ถือโดย ปตท. แต่คุณเปลวมองข้ามอีก 50% ที่ถือโดยบริษัทลูกของ ปตท. (ซึ่งทําให้ ปตท.มีสิทธิกว่า 50% ในผลประกอบการของ GPSC) และที่สําคัญคือผู้บริหาร GPSC ล้วนเป็นคนของ ปตท.ทั้งสิ้น หากเรายอมให้รัฐวิสาหกิจเลี่ยงความรับผิดชอบทางกฎหมายด้วยการตั้งบริษัทลูกแล้วถือไขว้กันไปมา แบบนี้ผมว่ามาตรา ๗๕ ในรัฐธรรมนูญก็ควรต้องลบทิ้งไป และหลักการ "รัฐไม่ควรแย่งประชาชนหากิน" ก็ไม่ต้องพูดถึงอีกด้วย

            ส่วน PTTOR (เจ้าของร้านกาแฟ) ที่คุณเปลวบอกว่า ปตท.ถือหุ้นเพียง 45% นั้น ขอเรียนว่าไม่ใช่นะครับ ขณะนี้ ปตท.ยังถือหุ้นอยู่ 100% เต็ม เป็นรัฐวิสาหกิจเต็มตัว (แต่มีแผนจะขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์)

            ส่วนประเด็นที่คุณเปลวเขียนเป็นนัยความกังวลว่าไฟฟ้าในอนาคตจะไม่พอ ผมขอเรียนว่าปัญหาบ้านเราส่วนหนึ่งตอนนี้คือกําลังผลิตที่มากเกินไป และจะมากขึ้นเรื่อยๆ ไปอีกหลายปี ซึ่งเป็นเหตุจากการประมาณการความต้องการที่คลาดเคลื่อนในอดีต ไม่เชื่อลองถาม Glow ดูได้ครับว่า กฟผ.รับซื้อไฟจากโรงไฟฟ้าเขาเท่าไรในช่วงปีที่ผ่านมา (ผมตอบให้ก็ได้ครับ-กฟผ.รับซื้อไม่ถึง 10% ของกําลังผลิตโรงไฟฟ้าก๊าซของ Glow เพราะความต้องการใช้ไฟน้อย) ส่วนที่บอกว่า "แค่ผลิตใช้เองในมาบตาพุด ไม่พออยู่แล้ว" นั้น ข้อเท็จจริงคือ ปตท.ไม่ได้ตั้งใจซื้อ Glow เพื่อใช้ไฟและไอน้ำเอง แต่ซื้อเพื่อขายให้ลูกค้าคนนอกและ กฟผ. และหากซื้อเพื่อใช้เองคงถือว่าเป็นการลงทุนที่แพงมากๆ

            เรื่องการลงทุนครั้งนี้ จริงๆ ก็มีประเด็นเรื่องความคุ้มค่าครับ ปตท.จะใช้เงิน 100,000 ล้านบาทในการซื้อหุ้น ซึ่งกว่าครึ่งต้องชําระให้กับผู้ถือหุ้นต่างชาติ ดังนั้นเงินก้อนนี้จะถูกโอนกลับไปต่างประเทศและไม่เกิดประโยชน์ใดๆ กับคนไทย ซึ่งต้องอย่าลืมว่ากว่าครึ่งของเงินนี้เป็นของคนไทยผ่านหุ้นที่รัฐถือใน ปตท. และเป็นการซื้อโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้ว และไม่ได้ทําให้มีทรัพย์สินสร้างขึ้นใหม่ให้กับประเทศไทยเรา ผมไม่มีปัญหากับการทํากําไรโดยนักลงทุนต่างชาติ แต่ก็ต้องบอกว่าผิดหวังที่ ปตท.ไม่สามารถนําเงินมหาศาลนี้ไปสร้างประโยชน์ให้กับประเทศได้มากกว่านี้

            ส่วนเรื่องกาแฟอเมซอน ประเด็นหลักของผมคือการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการอื่นๆ  ซึ่งหมายถึงผู้ประกอบการไทยที่พยายามสร้างแบรนด์ของคนไทยขึ้นมาเช่นเดียวกับอเมซอน เช่น Doro  วาวี หรือ Black Canyon และรวมไปถึงชาวบ้านรายเล็กรายน้อยตามถนนหนทางและชุมชนต่างๆ ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้ไม่มีฐานการเงินที่เข้มแข็งอย่าง ปตท. และไม่ได้มีความได้เปรียบจากการมีปั๊มน้ำมันเป็นพันๆ ปั๊มทั่วประเทศ ซึ่งความได้เปรียบทั้งหมดนี้มีจุดเริ่มต้นจากการที่ ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ

            หากถามว่าผมไม่ภาคภูมิใจหรือที่เรามีแบรนด์คนไทย และผมไม่ภาคภูมิใจหรือที่ ปตท.ทํากําไรให้กับคนไทย ผมคงจะตอบว่าคนไทยคนอื่นเขาก็พยายามสร้างแบรนด์อยู่เหมือนกัน และเขาไม่ได้มีฐานความเข้มแข็งที่มาจากความเป็นรัฐมาสร้างความได้เปรียบ ส่วนการมีกําไรนั้นดีกว่าขาดทุนแน่นอน แต่กําไรของ ปตท.เกือบทั้งหมดมาจากการค้าขายกับคนไทย (โดยอาศัยสิทธิผูกขาด) ผมจะภาคภูมิใจมากกว่า หาก ปตท.ใช้ศักยภาพของตนในการสร้างรายได้ให้กับคนไทยด้วยการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ หรือในการสร้างนวัตกรรมทางด้านแหล่งพลังงานตามพันธกิจก่อตั้งองค์กร สุดท้ายจึงจะขอเน้นอีกครั้งว่า เรื่องนี้เป็นทั้งเรื่อง "นโยบาย" และ "กฎหมาย" เราคงต้องเลือกระหว่างการมี National  Champion แบบ ปตท. (หรือทุนใหญ่อื่นๆ) ที่เติบโตด้วยการรุกคืบในพื้นที่ของผู้ประกอบการคนไทยด้วยกัน (โดยมีรัฐถือหาง) หรือเราอยากมีระบบเศรษฐกิจที่มีผู้ประกอบการที่หลากหลาย ประชาชนมีช่องทางการค้าขาย และมีรัฐที่คอยคุ้มครองรักษาความเป็นธรรมตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ-ประชาธิปัตย์เลือกแบบหลังครับ

            ผมเองไม่ได้ลงนามสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ผมเห็นด้วยกับมาตรา ๗๕ นี้อย่างมาก และผมหวังอย่างยิ่งว่าผู้มีอํานาจหน้าที่จะไม่ยอมรับการหลีกเลี่ยงกฎหมายกันด้วยวิธีตื้นๆ ด้วยการถือหุ้นไขว้ แต่จะพิจารณาตามข้อเท็จจริงว่า "control" นั้นอยู่ในมือใคร มิเช่นนั้น ตามที่ผมได้กล่าวไว้แล้ว "การรุกคืบกินพื้นที่" ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เศรษฐกิจเราจะไม่พัฒนา และที่สําคัญประชาชนทั่วไปจะมีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัวน้อยลง

            จึงขอเรียนครับว่าเรื่องนี้ผม "คิด" มาแล้ว คิดมานาน และขอยืนยันในความคิดที่มี

            กรณ์ จาติกวณิช

            14 กันยายน 2561

            ครับ..ทาง ปตท. หรือ GPSC และ PTTOR จะชี้แจงเป็นการพิทักษ์สิทธิ์บ้าง

                ก็ยินดีเผยแพร่ เพื่อสมดุลในข้อมูลบนฐานจริงต่อกัน.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"