"เอ็นจีโอ "ฟ้องศาล ให้อย.เพิกถอนประกาศ โอนอำนาจตรวจสอบสินค้าเกษตรนำเข้าไปให้ กระทรวงเกษตรฯ 


เพิ่มเพื่อน    


วันนี้ (10 ก.ย.61) เวลา 10.30 น. ณ ศาลปกครองกลาง จากกรณี สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่องการถ่ายโอนภารกิจให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบการนำเข้าสินค้าอาหารสินค้าเกษตรนั้น เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคที่ร่วมฟ้องคดีเห็นว่า ขั้นตอนการออกประกาศดังกล่าวเป็นการดำเนินการโดยปราศจากอำนาจ และก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้บริโภคโดยรวม จึงร่วมกันฟ้องคดีต่อศาลเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับผู้บริโภค 


นางสาวบุญยืน  ศิริธรรม นายกสมาคมสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค กล่าวว่า เนื่องจากการดำเนินการตามประกาศ ฯ ฉบับดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสิทธิด้านความปลอดภัยในการบริโภคสินค้าของผู้บริโภคโดยตรง กล่าวคือ เดิมในการตรวจสอบการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารที่นำเข้ามาในประเทศไทยนั้น อย. มีกระบวนการตรวจสอบ และการประกันคุณภาพที่ด่านตรวจ ที่มีขั้นตอนการเก็บตัวอย่างสินค้าที่ขออนุญาตนำเข้าไว้ตรวจสอบก่อนที่จะอนุญาตให้นำเข้ามาและวางจำหน่ายในประเทศไทยให้ได้สินค้าเกษตรและอาหารที่ปลอดภัยสู่ประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคทั้งหลาย แต่การตรวจสอบการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารของหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น ทำการตรวจสอบเพียงเอกสารที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้เก็บตัวอย่างสินค้าที่ขออนุญาตนำเข้าไว้ตรวจสอบดังเช่นการตรวจสอบของ อย. แต่อย่างใด 


“หลังจากที่มีการออกประกาศ ฯ ฉบับดังกล่าว มีการนำเข้าปลาตาเดียวหรือปลาฮิราเมะ จากจังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีการปนเปื้อนจากการรั่วไหลของกัมมันตรังสีจากภัยพิบัตินิวเคลียร์ เข้ามาในประเทศไทย โดยเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ตรวจสอบเพียงเอกสารที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ไม่มีการเก็บตัวอย่างปลาดังกล่าวไว้ตรวจสอบแต่อย่างใด แต่กลับปัดให้ อย.ไปตรวจสอบหากมีปัญหาเมื่อสินค้าออกสู่ตลาดแล้ว ซึ่งถือว่า ขั้นตอนการตรวจสอบและการคุ้มครองผู้บริโภคถูกลดทอนอย่างชัดเจนเมื่อมีการถ่ายโอนภารกิจ” 


ทางด้านนางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล อนุกรรมการด้านอาหาร ยา หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) เปิดเผยว่า ก่อนฟ้องคดีปกครอง ทางเครือข่ายผู้บริโภค และ คอบช.ได้ทำหนังสือติดตาม และให้ข้อเสนอแนะกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการแถลงข่าวคัดค้านให้ยุติการดำเนินการออกประกาศดังกล่าว แต่พบว่าหน่วยงานรัฐกลับเพิกเฉยต่อข้อเสนอแนะ ไม่ตอบไม่ให้ข้อมูล และไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดต่อผู้บริโภค 


“เมื่อประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ คณะอนุกรรมการด้านอาหารฯ ของ คอบช. ได้ทำหนังสือสอบถามกระบวนการทำงานไปยัง อย.และกระทรวงเกษตรฯ  ทั้งสิ้น 4 ฉบับ  แต่ทาง อย. ไม่เคยตอบกลับมา ส่วนสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตร  ตอบกลับมาเพียง 1 ครั้ง  เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2560 ในประเด็นการแก้ไข พระราชบัญญัติอาหาร แต่ไม่ตอบเรื่องวิธีปฏิบัติงานตามประกาศฯ ดังกล่าวข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าหน่วยงานรัฐไม่ได้ใส่ใจต่อข้อเสนอแนะขององค์กรผู้บริโภค และความปลอดภัยของผู้บริโภคในประเทศไทย หากสินค้านำเข้าที่ไม่ปลอดภัยได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ปัญหา การถ่ายโอนโยกย้ายภารกิจรังแต่จะสร้างความสับสนในการทำงานระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง สุดท้ายผลกระทบก็จะมาตกอยู่กับประชาชน ไม่เพียงเท่านั้น กระทรวงเกษตรฯยังพยายามผลักดันการแก้ไขพ.ร.บ.อาหารที่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของตนเพื่อเอื้อธุรกิจ ทั้งที่ พ.ร.บ.อาหารนั้นให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้บริโภค ดังนั้นคอบช.และเครือข่ายผู้บริโภคจึงตัดสินใจพึ่งศาลปกครองเพื่อเพิกถอนประกาศดังกล่าวให้มาตรฐานการคุ้มครองผู้บริโภคไม่แย่ไปกว่านี้” 


ทางด้านนายเฉลิมพงษ์ กลับดี ทนายความของศูนย์ทนายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า ในการฟ้องคดีครั้งนี้ ได้ขอให้ศาลปกครองดำเนินการใน 3 ข้อ คือ ข้อที่ 1. ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอน “ประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบการนำเข้าสินค้าอาหาร ประกาศ ณ วันที่ 29 เมษายน 2559”  ทั้งฉบับ และสั่งให้ กระทรวงสาธารณสุข และ อย. ยุติการถ่ายโอนภารกิจให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบการนำเข้าสินค้าอาหาร ข้อที่ 2. ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้หน่วยงานปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติ อาหาร พ.ศ. 2522 และข้อที่ 3. ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีคำสั่งให้หน่วยงานในสังกัด หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามประกาศ อย.ดังกล่าว ทั้งนี้ การฟ้องคดีดังกล่าวขององค์กรผู้บริโภค เป็นการทำหน้าที่ของผู้บริโภคในการคุ้มครองสิทธิอันพึงมีพึงได้ของผู้บริโภคโดยรวม โดยเฉพาะสิทธิในการได้รับความปลอดภัยจากสินค้าและบริการ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพ อนามัยของผู้บริโภคเป็นวงกว้าง และให้รัฐทำหน้าที่คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 46 และมาตรา 61.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"