สรวงสวรรค์บนเกาะปีนัง


เพิ่มเพื่อน    

วัดเก็กลกสี่ (Kek Lok Si) บนเนินเขานกกระเรียน ขวามือคือเจดีย์หนึ่งหมื่นพระพุทธเจ้า ซ้ายมือคือรูปหล่อสำริดเจ้าแม่กวนอิมในศาลาครอบทรง 8 เหลี่ยม

ฝนตกลงมาเวลาตี 2 กว่าๆ อากาศในห้องพักจึงค่อยเย็นลงได้ ก่อนนี้เครื่องปรับอากาศที่รีโมตคอนโทรลตั้งอัตโนมัติไว้ที่ 16 องศาไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย คิดว่าแอร์คงเสียหรืออาจจะทำงานช้า ก่อนจะหลับลงไปได้ก็ตัดสินใจว่าตื่นขึ้นมาจะย้ายที่พักอีกครั้ง

ตึกเก่าแบบชิโน-โปรตุกีสก็มีปัญหาเรื่องเสียงจากผู้พักชั้นบนย่ำเท้าลงพื้นไม้กระดาน โรงแรมระดับสองดาวก็มีปัญหาเรื่องเครื่องปรับอากาศ ทำให้ตัดสินใจได้ยากว่าคืนนี้จะนอนที่ไหน แต่ก่อนอื่นต้องเช็กเอาต์จากโรงแรมแกรนด์อินน์นี้ในเวลาเที่ยง

ผมถามรีเซ็พชั่นชาวจีนวัยกลางคนว่าห้องพักแบบดับเบิลเด็คมีห้องน้ำหรือเปล่า (ราคาคืนละ 98 ริงกิต) แกตอบว่า “มีห้องน้ำในห้องพัก และมีเตียงบนล่างนอนได้สองคน ถ้าจองมาคนเดียวก็ได้นอนคนเดียว ไม่ได้เป็นห้องรวม” แล้วแกก็ยังชี้ช่องว่าจองออนไลน์ราคาจะถูกลงไป ผมกล่าวขอบคุณแล้วเดินออกมา

ตรงข้ามโรงแรมคือร้านอาหารแบบข้าวราดแกงขนาดใหญ่ชื่อ Jaya (แปลว่า “ชัย” หรือ “ไชโย” ตามตัว) ผมเดินไปสั่งข้าวหมก (Biryani) โปะมาด้วยปลาทูทอดทรงเครื่อง อาบังคนตักอาหารคีบไข่เจียวที่ตัดแบบชิ้นพิซซ่าถามว่า “เอาไหม” ไม่ทันตอบอาบังก็คีบลงจาน แล้วผมก็ชี้ไปที่ผัดผักโขมอีกอย่าง จากนั้นก็ได้เวลาราดน้ำแกงอย่างสนุกสนานของอาบังจนต้องบอกว่า “พอแล้วๆ” กับข้าวทั้งหมดมีไข่เจียวอย่างเดียวที่รสชาติเฉยๆ อย่างอื่นก็อร่อยดี ราคารวมน้ำเปล่าขวดเล็ก 16 ริงกิต

สองแมวเด็กพันธุ์ “เอ็กโซติก ชอร์ตแฮร์” ในอ่างอาบน้ำ ภาพเขียนบนกำแพงที่หลายคนหาไม่เจอ

หลังจากพิจารณาเลือกที่พักแห่งใหม่จากข้อมูลในเว็บไซต์อยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจว่าจะไปนอนที่ 6orgeous 6race Guesthouse ในซอย Lorong Carnavonอยู่ห่างออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ผมยังต้องเดินผ่านที่พักแห่งนี้ไปก่อนเพราะยังไม่ได้กดจอง อีกทั้งยังไม่ถึงเวลาเช็กอินตามกำหนด  

คาเฟ่ Gayo บนถนน Lebuh Pantai ห่างออกไปจากเกสต์เฮาส์ที่ว่าประมาณ 500 เมตร ดูจากด้านนอกนึกว่าเป็นร้านขนาดเล็ก แต่พอเปิดประตูเข้าไปพบว่าเป็นร้านที่ยาวไปทางด้านหลังกินพื้นที่ไม่น้อย ตกแต่งได้ดูดีมาก ผมสั่งกาแฟกับบาริสต้าสาวแล้วขอเข้าห้องน้ำทันที ออกมากาแฟก็ตั้งอยู่บนโต๊ะแล้ว ดื่มเสร็จเดินไปถามเธอว่า “รูปแมว 2 ตัวในอ่างน้ำอยู่ตรงไหน ผมหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ” บริกรหนุ่มเดินมาพอดี บอกว่าอยู่หลังร้าน “คนหาไม่ค่อยเจอหรอกครับ เพราะมันเล็กมาก” เขาพาผมเดินทะลุร้านที่มีถึง 3 โซนออกไปชี้จุด จึงได้เห็นว่ามันเล็กมากจริงๆ แมวเด็กพันธุ์เอ็กโซติกชอร์ตแฮร์ 2 ตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำ ห่างจากปากซอยข้างๆ กำแพงที่มีภาพเขียนแมวส้มตัวใหญ่ราว 30 เมตร     

หลังจากจองที่พักในร้านกาแฟตอนเวลาเกือบบ่าย 2 แล้วก็เดินไปที่เกสต์เฮาส์ 6eorgeous 6race ที่นำเอาเลข 6 มาแทนตัวอักษร G เนื่องจากตั้งอยู่บนเลขที่ 66 ในซอย Lorong Carnarvon ผมสั่นกระดิ่งหน้าประตูอยู่นานก็ไม่มีคนเปิด จึงโทรศัพท์ไปตามเบอร์ในเว็บไซต์รับจอง พูดกับผู้ชายปลายสายที่ไม่ได้อยู่ในเกสต์เฮาส์สองสามคำ สาวแขกออกมาเปิดประตู เธอว่า “เพิ่งได้รับแจ้งว่ามีคนจองเข้ามา เป็นการจองนาทีสุดท้าย นึกว่าวันนี้จะไม่มีผู้เข้าพักแล้ว”   

ก่อนจองเมื่อสักครู่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าวันนี้จะเป็นแขกคนเดียวเพราะในเว็บไซต์รับจองระบุว่าเกสต์เฮาส์แห่งนี้มีที่นอนว่างเท่ากับจำนวนที่ปล่อยจอง และได้เลือกห้องนอนรวมแบบ 4 เตียง ซึ่งราคาถูกกว่าห้องเดี่ยว แต่เราก็ยังได้นอนคนเดียว อีกทั้งไม่ต้องกังวลเรื่องเสียงย่ำเท้าจากชั้นบน แม้ว่าจะเป็นตึกเก่าชิโน-โปรตุกีสที่พื้นระหว่างชั้นเป็นไม้กระดาน

อีกหนึ่งมุมสบายตาในเมืองจอร์จทาวน์

แขกสาวเจ้าบ้านเข้ามาสมทบอีกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธออธิบายการใช้ห้องน้ำและข้าวของในเกสต์เฮาส์ ผมเอากระเป๋าเก็บในล็อคเกอร์แล้วก็เดินออกไปยัง Komtar ศูนย์รวมสินค้า ความบันเทิง และรถเมล์ของเกาะปีนัง

ระหว่างนั่งรถเมล์สาย 204 ไปวัดเก็กลกสี่ (Kek Lok Si) ได้ยินหนุ่มวัยรุ่นมาเลย์ที่นั่งอยู่เก้าอี้ติดกันด้านหลังพูดคุยอย่างเป็นกันเองและซักถามหลายสิ่งหลายอย่างเอากับนักท่องเที่ยวคู่รักจากเมืองจีน โดยเฉพาะเรื่องหนังจีน แรกๆ ดูเหมือนคู่รักจะรำคาญ แต่คงเห็นได้ว่าหนุ่มน้อยจริงใจและปลาบปลื้มหนังจีนจริงๆ จึงค่อยๆ สนทนาออกอรรถรสกันมากขึ้น ผมนั่งฟังด้วยความรู้สึกอึดอัดในช่วงแรกๆ แต่แล้วไม่นานก็รู้สึกดีไปด้วย จนนั่งเลยไปถึง “ปีนังฮิลล์” สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งของเกาะปีนัง เห็นคนลงกันหมดจึงถามหนุ่มมาเลย์นักจ้อว่า “วัดอยู่ไหนครับ” เขาตอบว่า “เลยมาแล้ว คุณไปถามโชเฟอร์สิว่าจะกลับเลยหรือต้องรอกี่นาที”   

ได้ความจากคนขับรถเมล์ว่าอีก 30 นาทีรถถึงจะกลับออกไปยังเส้นทางเดิม ผมเช็กระยะทางจากแผนที่กูเกิลในมือถือ ระบุ 2.4 กิโลเมตร จึงตัดสินใจเดิน พอดีกับที่เจอสองสาวฝรั่งเพิ่งลงมาจากปีนังฮิลล์ ถามพวกเธอว่า “ครึ้มฟ้าครึ้มฝนอย่างนี้มองจากข้างบนเห็นวิวได้ชัดไหม” หนึ่งในนั้นตอบว่า “ก็หม่นๆ แต่ยังมองเห็นทะเลและฝั่งแผ่นดินใหญ่”

วันนี้ผมใส่รองเท้าผ้าใบคู่ที่นำมาจากเมืองไทย ไม่มีปัญหาเรื่องกัดเพราะคุ้นเคยกันมาสักพักแล้ว ไม่นานนักก็ถึงวัดพุทธจีนอันใหญ่โตและเลื่องชื่อ ตั้งอยู่บนเนินเขานกกระเรียน เขตอีร์ อิตัม ชานเมืองของจอร์จทาวน์  

สายชำระในห้องส้วมแบบฉบับปีนังและมาเลเซีย

“เก็กลกสี่” แปลได้ว่า “วัดแห่งสรวงสวรรค์” เริ่มก่อสร้างใน พ.ศ. 2433 ตามแนวคิดของ “หลวงพ่อเปียว เลี่ยน” เจ้าอาวาสวัดเจ้าแม่กวนอิมในเมืองจอร์จทาวน์ โดยมีนักธุรกิจใหญ่ชาวจีนในปีนังอย่างน้อย 5 คนร่วมบริจาคทุนการก่อสร้างบนเนื้อที่ประมาณ 75 ไร่

ปี พ.ศ. 2447 จักรพรรดิกวังซวี่แห่งราชวงศ์ชิงได้นิมนต์หลวงพ่อเปียวไปยังกรุงปักกิ่ง ได้ทรงชื่นชมและมีพระบรมราชโองการให้วัดแห่งใหม่นี้เป็นวัดเอกของวัดในปีนังทั้งมวล และแต่งตั้งให้หลวงพ่อเปียวเป็นเจ้าอาวาสของวัด อีกทั้งได้พระราชทานพระไตรปิฎกนับหมื่นเล่ม ด้านพระนางซูสีไทเฮาผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงก็ได้บริจาคเงินทองและสิ่งของมากมาย กระทั่งวัดสร้างเสร็จ มีวิหารหลายหลัง หอสวดมนต์ รวมถึงอารามสำหรับพระสงฆ์ 

ในปี พ.ศ. 2473 “เจดีย์ 1 หมื่นพระพุทธเจ้า” จำนวน 7 ชั้น สูง 30 เมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จ มีภาพเขียนและภาพนูนต่ำพระพุทธเจ้าบนแผ่นสำริดและศิลาขาวของผนังด้านในเจดีย์จำนวน 1 หมื่นภาพ ฐานเจดีย์สร้าง 8 เหลี่ยมแบบจีน ส่วนกลางเป็นศิลปะแบบไทย และยอดเจดีย์เป็นแบบก้นหอยของพม่า สะท้อนถึงความแน่นแฟ้นของพุทธมหายานและเถรวาท อีกทั้งความกลมเกลียวทางด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรมในปีนังและประเทศมาเลเซียโดยรวม

ข้อมูลจาก “วิกิพีเดีย” ฉบับภาษาอังกฤษ ระบุว่า เจดีย์ 7 ชั้นนี้ยังถูกเรียกว่า “เจดีย์พระราม 6” อีกชื่อ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานเงินทุนตั้งต้นในการก่อสร้าง นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ยังได้พระราชทานพระพุทธรูปองค์ใหญ่แก่วัดแห่งนี้อีกด้วย

วัดเก็กลกสี่ อีกชื่อที่คนนิยมเรียกคือ “วัดเขาเต่า” เพราะตั้งอยู่บนเนินเขาและมีเต่าอยู่ในสระน้ำจำนวนมาก

ในส่วนของรูปหล่อสำริดเจ้าแม่กวนอิม ความสูง 30.2 เมตร สร้างแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2545 แทนองค์เดิมที่เป็นปูนพลาสเตอร์สีขาวซึ่งเกิดความเสียหายจากเหตุไฟไหม้ก่อนหน้านั้น ต่อมาใน พ.ศ. 2552 ได้มีการสร้างศาลา 8 เหลี่ยม 16 เสา หลังคา 3 ชั้น ครอบองค์เจ้าแม่กวนอิมไว้

ผมกลับลงมาจากวัดเป็นคนสุดท้าย นึกสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าเสียงเคาะระฆังคือเสียงหมดเวลาเยี่ยมชมตอน 6 โมงเย็น เจ้าหน้าที่หนุ่ม 2 คนรอปิดประตู ผมขอโทษเขาแล้วก็เดินออกไปขึ้นรถเมล์กลับจอร์จทาวน์

รถจอดที่ข้างๆ คอมตาร์ ผมเดินต่อไปกินผัดซีอิ้วกุ้งที่ย่านไชน่าทาวน์ ราคาแค่ 5.5 ริงกิต จากนั้นเดินไป Chulia Mansion บนถนน Lebuh Chulia เพื่อชมวิวยามเย็นจากบาร์ดาดฟ้า สั่งเบียร์มา 1 ขวด บริกรหนุ่มแถมขนมอบที่เป็นแป้งผสมถั่วมาให้ 1 ถ้วย เข้ากับเบียร์ได้ดีมาก นึกอยากจะดื่มต่ออีกขวดแต่ฟ้ามืดไปสักพักแล้วและรู้สึกเหนียวตัว จึงเรียกเก็บเงิน ผมให้เขาไป 15 ริงกิต จากราคาเบียร์ 12 ริงกิต ถือว่าถูกกว่าร้านทั่วไปเสียอีก

จากนั้นเดินกลับไปอาบน้ำที่เกสต์เฮาส์แล้วหลับไปด้วยความอ่อนเพลียราว 1 ชั่วโมง ตื่นขึ้นมาก็หิวอีกครั้งเพราะผัดซีอิ้วจานขนาดกลางถูกใช้พลังงานหมดไปแล้ว จึงออกเดินไปเรื่อยๆ จนถึงร้าน Jaya ร้านเดิมที่เปิด 24 ชั่วโมง เห็นอาหารที่เหลือมาจากตอนกลางวันก็กะจะเดินหนีแต่ไม่ทัน เหมือนมนต์แขกเข้าสะกด ชี้ไปที่ข้าวหมก ไก่ผัดสีออกแดงๆ ปลาจาระเม็ดทอด และผัดกะหล่ำปลีสับชิ้นเล็กๆ อาบังอุ่นด้วยไมโครเวฟให้ ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย ไก่ไม่เผ็ดอย่างที่คิด ปลาก็ไม่เลว ผัดผักก็กินง่ายนุ่มกำลังดี ราคาอาหาร 22.50 ริงกิต ไม่รวมน้ำเปล่า

วันต่อมาตื่นราว 11 โมง อาบน้ำแล้วเก็บกระเป๋าเช็กเอาต์ จึงได้รู้ว่าสองสาวประจำเกสต์เฮาส์พักอยู่ด้านบนโดยที่ไม่ส่งเสียงย่ำเท้าให้ได้ยิน พวกเธอน่าจะเป็นญาติกัน และเกสต์เฮาส์นี้คงจะเป็นธุรกิจในครอบครัว ก่อนออกจากเกสต์เฮาส์ผมได้ฝากกระเป๋าไว้ แจ้งสองสาวว่าจะกลับมารับประมาณบ่าย 3 โมง

เขตอิร์ อิตัม มุมมองจากเจดีย์ 7 ชั้น วัดเก็กลกสี่

มื้อเช้าวันนี้เป็นอาหารมาเลย์จากร้านที่ได้เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เปิดประตูเข้าไปเป็นร้านขนาดใหญ่โต มีโต๊ะหลายโต๊ะ ผมขอเมนูแล้วสั่งข้าวผัดแบบมาเลย์ที่มีปลากรอบตัวเล็กๆ เคียงมา โปะด้วยไข่ดาว ราคาจานละ 9 ริงกิตกว่าๆ น้ำดื่มประมาณ 2 ริงกิต และเซอร์วิสชาร์จ 10 เปอร์เซ็นต์ ข้าวผัดรสชาติใช้ได้ แต่ไข่ดาวน้ำมันเยิ้มไปหน่อย

มีเวลาเหลือ 2 ชั่วโมงกว่า จึงเดินไปกินกาแฟที่ร้าน Roast & Bake Café-Dessert บนถนน Lebuh Chulia วันนี้มีลูกค้าหลายโต๊ะเพราะเป็นเวลาเที่ยงกว่าๆ ตรงกับมื้ออาหารกลางวัน โจเซฟและไมรา สองบริกรหนุ่ม-สาว ทักทายอย่างเป็นกันเอง เจ๊เจ้าของร้านก็อยู่ในเคาน์เตอร์ ผมสั่งอเมริกาโนแล้วเดินขึ้นชั้นบนไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง ครู่ต่อมาเจ๊เจ้าของร้านขึ้นมานั่งกับเพื่อนผู้หญิงอ้วนท้วน 2 คนที่อาจจะเป็นหุ้นส่วกัน ตอนผมลุกออกมาพวกเธอกล่าวขอบคุณและพูดว่า “บ๊าย บาย”  

ก่อนจะลุกไม่นานโจเซฟได้เขียนข้อความใส่กระดาษให้ผม “If all my possession is taken from me with one exception I would choose to keep the power of writing for which it would soon regain the rest”

รูปหล่อสำริดเจ้าแม่กวนอิม มุมมองจากชั้นบนสุดของเจดีย์ 7 ชั้น

ซึ่งเป็นประโยคที่น่าจะดัดแปลงจากนักการเมืองอเมริกันชื่อ Daniel Webster เขาเคยกล่าวไว้ว่า “… if all my possessions were taken from me with one exception, I would choose to keep the power of communication, for by it I would soon regain all the rest."

“...หากทุกสิ่งจะต้องถูกพรากไปจากข้าพเจ้าโดยให้รักษาไว้ได้เพียงหนึ่งอย่าง ข้าพเจ้าขอเลือกที่จะรักษาพลังแห่งการสื่อสารเอาไว้ เนื่องจากว่าด้วยพลังแห่งการสื่อสารนี้ข้าพเจ้าจะสามารถเรียกทุกคุณสมบัติที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้ในไม่ช้า”

โจเซฟเปลี่ยนจากคำว่า “พลังแห่งการสื่อสาร” เป็นคำว่า “พลังแห่งการเขียน” เขามอบให้ผมเนื่องจากวันก่อนเขาเห็นผมเขียนบันทึกการเดินทางอยู่ และทราบว่าผมทำงานเกี่ยวกับการขีดๆ เขียนๆ

 เขตมรดกโลกเมืองจอร์จทาวน์และถนน Lebuh Chulia มองจาก Chulia Mansion

ค่ากาแฟ 7 ริงกิต ผมจ่ายด้วยใบ 10 ริงกิตแล้วบอกไมราว่าให้เก็บเงินทอนไว้ เธอใส่กล่องทิปรวมทันที ผมลาหนุ่มสาวที่น่ารักออกมา เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ก่อนจะวกสู่เส้นทางกลับไปยังที่พักเพื่อรับกระเป๋าที่ฝากไว้แล้วเดินต่อไปยังคอมตาร์เพื่อโดยสารรถเมล์สาย 401ER ไปสนามบิน

ตอนผ่าน ตม. เจ้าหน้าที่มาเลย์ถามว่า “คุณมาทำอะไรที่ปีนัง” ผมตอบว่า “มาเดินเล่น” เขาระเบิดหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “ได้โปรดมาอีกนะ”.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"