รัชกาลนี้ต้องสงบที่สุด ประยุทธ์ย้ำห้ามมีประท้วงกกต.ขึงขังขู่ฟัน‘สามมิตร’


เพิ่มเพื่อน    

  "บิ๊กตู่" ลุยพื้นที่ลพบุรีที่ตั้งกองกำลังทหาร  ย้ำรัชกาลนี้ต้องสงบที่สุด อย่าให้มีประท้วงอีก แนะเลือกตั้งอย่าเห็นแก่เงินซื้อเสียงแค่ 100 บาท ซัดจำนำข้าวผลาญงบต้องใช้หนี้ 5 แสนล้าน "วิษณุ" ย้อนถามพรรคการเมือง หาก 70 วันหาเสียงไม่พอ เอา 150 วันแล้วไปเลือกตั้ง 5 พ.ค.62 "เพื่อแม้ว" เพ้อขอรัฐบาลเป็นกลางรักษาการช่วงเลือกตั้ง กกต.ขู่กลุ่มสามมิตรหากทำผิด กม.ความมั่นคง ชง คสช.จัดการ "สุภรณ์" เผยอีก 1-2 วันเข้าแจ้งความ ตร.เอาผิดคนเก็บบัตร ปชช.ชาวบ้านไปสมัครสมาชิกพรรค

    เมื่อวันศุกร์ เวลา 08.00 น. ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จ.ลพบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมคณะ ลงพื้นที่พบปะประชาชน โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่งว่า มาครั้งนี้รู้สึกอบอุ่นใจ ซึ่งลพบุรีเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นดินแดนแห่งราชธานีแห่งที่ 2 ของไทย และตนเองเป็นคนลพบุรี เกิดที่โคราช แต่มาโตที่ลพบุรี เพราะพ่อมาเป็นทหารที่นี่ วันนี้มาติดตามงานติดตามปัญหาของประชาชนว่ามีอะไรที่จะทำความเข้าใจกันได้บ้าง ไม่ได้มาทำงานการเมือง และตื่นเต้นกลับมาบ้านเก่า ไม่ได้หมายถึงตายนะ แต่บ้านเก่าหมายถึงบ้านที่เคยอยู่อาศัย แต่เมื่อเป็นรัฐบาลไม่สามารถทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ทำเพื่อคนลพบุรี หรือคนโคราชอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องทำให้ทุกจังหวัด
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ลพบุรีถือเป็นดินแดนแห่งวัฒนธรรม ดินแดนที่สงบสุข เป็นพื้นที่ปลอดภัยจากภัยสงครามตั้งแต่อดีต เป็นที่ตั้งของกองกำลังทหาร ขอย้ำว่าทหารไม่ใช่ศัตรูของประชาชน ซึ่งทหารมีคติพจน์คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ปกป้องอธิปไตยและรักษาความมั่นคงภายใน ดังนั้นจำเป็นที่ต้องมีทหาร อย่าเชื่อหากใครบอกไม่ต้องมีทหารแล้วก็ได้ เพราะในยามที่ไม่มีการสู้รบ ก็ต้องมีทหารเพื่อสร้างความเข้มแข็ง วันหน้าประเทศไทยต้องเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย แต่ขอให้เป็นประชาธิปไตยที่ลดความขัดแย้ง รบกันไปมาไม่เกิดประโยชน์ ในส่วนของรัฐบาลนี้ หากมีข้อมูลหลักฐานการทุจริต ส่งข้อมูลมาที่ตนได้ทันที ถ้ามีคนเลวๆ ในระบบก็ต้องให้คนเหล่านั้นออกไป ไม่ว่าจะเป็นใครจะถูกลงโทษสถานหนัก
    นายกฯ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยติดกับดักประชาธิปไตย และกับดักรายได้ปานกลาง ทำให้ไปไหนไม่ได้ เสียเวลามากว่า 10 ปีที่มีความขัดแย้ง ทุกรัฐบาลติดขัดไปหมด รัฐบาลนี้จึงต้องไปทุกที่ทุกตารางนิ้ว ไม่ว่าที่ไหน จะชอบหรือไม่ แม้จะเกลียดก็จะไป ก็จะมาให้เกลียด ไม่ได้มาให้รัก หากจะเกลียดก็เป็นเรื่องของประชาชน ยิ่งเกลียดก็จะรักให้มากขึ้น วันนี้ทุกจังหวัดได้งบประมาณมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา เพราะนายกฯ ไม่ได้อยู่พรรคไหน ทุกจังหวัดคือพรรคของรัฐบาล เราต้องดูแลคนไทยทุกคน และขอให้คนไทยเลิกทะเลาะกันเอง เลิกเอาคนไปตีกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แล้วจะตีกันเองทำไม ประชาธิปไตย ตีกันมากกว่า 10 ปี ทำให้เส้นเลือดของประเทศตีบตัน วันนี้จึงต้องปลดล็อก สิ่งเหล่านี้ให้ได้ และวันนี้ต้องปฏิรูปประเทศเพื่อประชาชน 
    "ผมไม่ได้มาหาเสียง การเมืองต้องไม่ทำให้ประเทศถอยหลังอีกต่อไป สัญญากับผมได้หรือไม่ ใครคิดว่าจะทำให้การเมืองมันดีขึ้น ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลดีขึ้น เลือกตั้งได้คนดี ยกมือขึ้น คนดีคือคนที่ทำให้เราอย่างแท้จริง และทำให้คนอื่นด้วย รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง การฟอร์มรัฐบาลก็มาจากหลายพรรค คนละพรรค เว้นแต่เมื่อไหร่ตั้งนายกฯ แต่เวลาคณะรัฐมนตรีทำงานต้องทำเพื่อคนทั้งประเทศ ทั้งที่เลือกและไม่เลือกตัวเองมา อย่ามาแบ่งแยกภาคเหนือ ภาคใต้ ตะวันออกและตะวันตก เป็นของคนนั้นคนนี้ ไม่ได้อีกแล้ว หากทำอย่างนั้นร่างกายเราก็จะสิ้นสภาพ"
รัชกาลนี้ต้องสงบที่สุด
     จากนั้นนายกฯ เดินชมนิทรรศการของทางจังหวัด เมื่อมาถึงจุดการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสำหรับผู้มีรายได้น้อย นายกฯ ถามว่า อยากให้ช่วยอะไรไหม ชาวบ้านตอบว่า อยากให้ช่วยพยุงราคาข้าว นายกฯ จึงกล่าวว่า “จะพยุงได้อย่างไร เพราะตอนนี้รัฐบาลยังใช้หนี้ 5 แสนล้านบาทให้กับโครงการรับจำนำข้าว และข้าวต้องมีราคากลาง จะให้ 15,000 บาท ทุกประเภทไม่ได้ อย่าให้ใครมาบอกว่าจะให้ราคาข้าว 15,000 ถึง 20,000 บาท มันผิดกฎหมาย ที่ผ่านมารัฐบาลต้องแบกให้เท่าไร ใช้หนี้มา 4 ปีแล้ว จากที่ผลาญมาจากรอบที่แล้ว”
    หลังจากนั้นนายกฯ สักการะสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยอธิบดีกรมศิลปากรได้มอบรูปหล่อจำลองสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแก่นายกฯ ก่อนเยี่ยมชมโครงการบำรุงรักษาและอนุรักษ์ต้นจัน อายุ 300 ปี
    ต่อมา เวลา 12.00 น. ที่เทศบาลตำบลเขาพระงาม พล.อ.ประยุทธ์พร้อมคณะเยี่ยมชมโครงการบ้านสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ โดยช่วงหนึ่งนายกฯ ได้ทักทายกลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่ ที่มารอต้อนรับพร้อมประชาชน 200 คนว่า เราเคยเจอกันหรือเปล่า สงสัยเวลาไปประชุมฉันอาจเคยเจอหน้าพวกเธอ หรือไม่ก็เห็นหน้าตอนประท้วง อย่ามีอีกนะ
     "รัชกาลนี้ต้องเป็นรัชกาลที่สงบที่สุด เข้าใจไหม เราเปลี่ยนรัชกาล บ้านเมืองเราวันนี้ดีหมด ข้างนอกและข้างใน ฉะนั้นการเลือกตั้งต้องไปสู่ความสงบ อย่าเกิดการประท้วงขึ้นอีกเลย อย่าให้ไปเจอหน้ากันที่กรุงเทพฯที่หน้าทำเนียบรัฐบาล จำหน้าได้หมดแล้ว" นายกฯ กล่าว
    นายกฯ กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งต้องให้ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ถ้าเลือกตั้งแบบเดิมก็กลับมาที่เก่า ต้องให้มีการเปลี่ยนแปลง อย่าไปเห็นแก่เล็กๆ น้อยๆ บางทีเขาเอาเงินมาแจก 100 บาท มันซื้อเราได้เหรอ เงิน 100, 200, 300 และ 500 บาท ซื้อเราได้เหรอ สิทธิของเราถ้าเราจะเลือกใคร พอใจอย่างไรท่านก็เลือกไป จะเลือกด้วยคน เลือกด้วยพรรค แต่ถ้าเลือกไอ้คนให้ตังค์ วันหน้ามันก็เอาเงินคืนใช่ไหม มีใครให้อะไรฟรีๆ อย่าไปรับ สัญญานะ ไม่ใช่พอวันหน้ามีรัฐบาลใหม่เข้ามาบอกให้เล่นงานรัฐบาลเก่า สัญญานะ
    ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองระบุกรอบเวลาหาเสียง 60-70 วัน อาจไม่เพียงพอว่า อย่างน้อย 60 วัน พอหรือไม่ ถ้าไม่พออย่างนั้นเอา 150 วัน แล้วไปเลือกกันวันที่ 5 พ.ค.62 จะเอาอย่างนั้นหรือ ซึ่งวันนี้มันยังไม่ได้มีการกำหนดอะไรทั้งนั้น ที่พูดๆ มาเป็นการยกตัวอย่าง ก่อนหน้านี้ก็เคยยกตัวอย่างสมัย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ใช้เวลาเพียง 20 วัน เพื่อให้รู้ว่าการหาเสียงสั้นๆ นั้นเคยมี และสื่อบางฉบับระบุว่าการหาเสียงระยะสั้นเป็นเรื่องดี เพราะถ้าหาเสียงยาวจะใช้งบประมาณมาก แต่ตนเคยพูดแล้วว่าสั้นไปก็ไม่ดี ยาวไปก็ไม่ดี จึงบอกครั้งนี้อย่างน้อยมีช่วงหาเสียง 60 วัน โดยนับจากเมื่อมีการปลดล็อกในเดือน ธ.ค.61 จนถึงวันที่ 24 ก.พ.62 และหากไม่ชอบวันที่ 24 ก.พ.62 แล้วเลื่อนออกไปยังสามารถทำได้
     “เมื่อมีการปลดล็อกโดยยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 และเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ออกมาเมื่อใด นั่นแปลว่าสามารถหาเสียงได้ สามารถติดโปสเตอร์ ขึ้นเวทีไฮด์ปาร์ค ส่งไลน์ จะทำอะไรก็ทำไป สามารถทำได้ จนถึงก่อนวันเลือกตั้ง 1 วัน ที่เขาห้ามหาเสียง” นายวิษณุกล่าว
พท.ขอรัฐบาลกลาง
    พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ของเดิมใช้เวลาแค่กว่า 40 วันเท่านั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังใช้เวลาแค่ 49 วัน
     ผู้สื่อถามถึงกรณีนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุให้วางมาตรการควบคุมและกำหนดหลักเกณฑ์การหาเสียงให้ชัดเจน พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็มาทำสิ อยากทำอะไรก็ทำ เมื่อถามว่าจะระบุหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนหลังจาก คสช.คลายล็อกให้พรรคการเมืองหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวย้อนว่า กำหนดได้หรือไม่ เวลานี้ยังกำหนดอะไรไม่ได้เลย ขนาดบังคับแล้วยังรวนอยู่เลย เมื่อซักว่าต้องขอร้องพรรคการเมืองให้อยู่ในกรอบหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ขอร้องแล้วเขาฟังหรือ
    ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งใน 70 วัน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หวังว่าในช่วงเวลาดังกล่าวรัฐบาลจะไม่ปิดกั้นการหาเสียงการสื่อสารนโยบายถึงประชาชน โดยเฉพาะทางโซเชียลมีเดีย ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 หากปิดกั้น ไม่ให้ประชาชนและพรรคการเมือง เข้าถึงโอกาสในการสื่อสารนโยบายของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งมีต้นทุนต่ำ มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงสูง ประชาชนอาจมองว่าเป็นได้แค่ไทยแลนด์ 0.4 หรือไม่ 
    "ส่วนการจัดทำนโยบาย รัฐบาลต้องให้เวลาในการดำเนินการเรื่องนี้อย่างเหมาะสม จะไปเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งทั่วไปก่อนหน้านี้ไม่ได้ เนื่องจากช่วงระยะเวลา 4 ปีเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา อยู่ในช่วงสถานการณ์พิเศษ ไม่สามารถทำกิจกรรมหรือเดินสายพบปะประชาชน เชื่อว่าหากปลดล็อกเพื่อให้พรรคการเมืองสามารถมีช่องทางในการรับฟังปัญหาของประชาชนไม่น่าจะมีพรรคการเมืองใด กระทำการฝ่าฝืนประกาศคำสั่งหรือกฎหมายจนนำไปสู่ความวุ่นวาย" นายอนุสรณ์ กล่าว 
    นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้รู้สึกเป็นห่วงมากว่าการเลือกตั้งจะไม่เสรี และไม่เป็นธรรม ปี่กลองยังไม่ทันโหมโรงเลย กลุ่มการเมืองฟากฝั่งรัฐบาลที่ประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่ จ.ชัยภูมิ จัดเวทีปราศรัย คล้องพวงมาลัย แนะนำตัวผู้สมัคร ทำได้ทั้งนั้น ทั้งที่ผิดกฎหมาย ส่วนของพรรคเพื่อไทยวิพากษ์ผลงานรัฐบาลในรอบ 4 ปี ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ กลับถูกดำเนินคดี ปัญหาเฉพาะหน้าขณะนี้จะร่วมมือกันทำให้การเมืองปกติ และการเลือกตั้งจะเป็นเสรีและเป็นธรรมได้อย่างไร อยากจะเห็นรัฐบาลนี้เสียสละ แสดงสปิริตด้วยการลาออก เพื่อมีรัฐบาลที่เป็นกลาง เข้ามารักษาการในระยะเวลาเปลี่ยนผ่านสั้นๆ เพื่อจัดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
    นายศักดา นพสิทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้ยังมีการชุมนุมทางการเมือง และเคลื่อนไหวการเมืองของกลุ่มสามมิตร โดยการแนะนำผู้สมัคร ส.ส.หาเสียงกับประชาชนอย่างตลอดและต่อเนื่อง ไม่คำนึงถึงข้อห้ามตามคำสั่งของ คสช. ซึ่งผิดกฎหมาย ที่พรรคการเมืองเรียกร้องให้ปลดล็อก เพราะต้องการพบปะประชาชน เพื่อรับฟังความคิดเห็นและมีส่วนร่วม สำหรับการจัดทำนโยบาย มิได้มุ่งหวังไปหาเสียง ก่อนมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง เพราะจะไม่มีประโยชน์เลย หากไม่มีนโยบายที่ดีที่จะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องให้แก่ชาวบ้านได้ ดังนั้นจึงขอให้ คสช.ปลดล็อกการเมือง โดยไม่ปล่อยกลุ่มการเมืองที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ทำผิดกฎหมายซ้ำซาก เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้มีธรรมาภิบาล มีมาตรฐานเดียวกัน
กกต.เตือนกลุ่มสามมิตร
    นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตร กล่าวถึงการอนุญาตให้พรรคพลังประชารัฐจัดประชุมใหญ่ในวันที่ 15 ก.ย.ได้ โดยกลุ่มสามมิตรจะไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ว่า การที่กลุ่มสามมิตรจะไปร่วมพรรคการเมืองใดนั้น ขณะนี้เรายังไม่ได้ตกลงกัน เราต้องคุยกันอย่างละเอียดภายในกลุ่มก่อน ขอย้ำว่า เราจะไม่ตั้งพรรคการเมืองเองแน่นอน พรรคพลังประชารัฐถือเป็นตัวเลือกอันดับแรกที่น่าสนใจ แต่เรากำลังดูถึงโครงสร้างและนโยบายหลักของเขาด้วยว่าเข้ากับกลุ่มเราได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนขุมกำลังและความพร้อมของกลุ่มสามมิตรนั้น เรามีความพร้อมเต็มที่ มีสมาชิกและผู้เชี่ยวชาญครอบคลุมในหลายๆ ด้าน คงต้องรอดูกัน
    "ยอมรับว่าหากกลุ่มสามมิตรไปสังกัดพรรคการเมืองแล้ว การเคลื่อนไหวคงจะยากขึ้น แต่เราจะพยายามลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนให้ได้มากที่สุด เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และหาวิธีแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับพวกเขา ทั้งนี้ ในวันที่ 7 ก.ย. ตนจะเดินทางไปจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อรับฟังปัญหาจากชาวบ้านในพื้นที่ อ.เก้าเลี้ยวและ อ.พยุหะคีรีด้วย" นายสมศักดิ์กล่าว 
    พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตรว่า ขณะนี้ทุกกลุ่ม ทุกพรรคการเมือง มีการเคลื่อนไหวเหมือนกัน เพียงแต่ว่าจะอยู่ในรูปแบบอย่างไร อาจจะเป็นการพบปะสอบถามปัญหาของชาวบ้าน จัดสัมมนาหรือพูดคุยกัน ถือเป็นจุดที่วัดลำบากว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ชัดเจนหรือไม่ เราไม่ได้กำหนดเฉพาะจุดตรงไป ตรงไหนอย่างไร แต่หากผิดกฎหมายชัดเจนก็จะมีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการดูแล ส่วนกลุ่มการเมืองที่พยายามใช้ช่องโหว่ว่าไม่ใช่พรรคการเมืองนั้น ก็ได้มีการพูดคุยและขอร้องการในการเคลื่อนไหวที่จะก่อให้เกิดผลกระทบที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง อะไรที่คิดว่ายังไม่สมควรทำ แล้วจะทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบหรือความร้าวฉาน ก็ต้องระมัดระวัง ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรง    
    ด้านนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวว่า กรณีที่กลุ่มสามมิตรเปิดตัวผู้สมัครและยังขึ้นรถปราศรัยหาเสียงนั้น กกต.จะตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำที่ทำให้เกิดเสียเปรียบในการเลือกตั้ง หรือเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ หน้าที่ กกต.คือการดูแลการเลือกตั้งให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรม และให้การดำเนินกิจกรรมของกลุ่มการเมืองและพรรคการเมือง เป็นไปอย่างเท่าเทียม กกต.ไม่จำเป็นต้องตักเตือนใดๆ ให้ระมัดระวังเรื่องของการเคลื่อนไหว เพราะมีคำสั่ง คสช.ที่กำหนดขอบเขตไว้อยู่แล้ว 
    ประธาน กกต.ยังกล่าวถึงความพร้อมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ว่า ขณะนี้ กกต.อยู่ระหว่างการพิจารณาระเบียบ กกต.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. โดยในสัปดาห์หน้าจะมีการพิจารณาก่อนออกเป็นประกาศ เพื่อให้มีผลบังคับใช้พร้อมกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ส่วนที่มีข้อกังวลว่าจะเกิดการฮั้วกันของผู้สมัครในการเลือกกันเองนั้น สำนักงาน กกต.ได้ศึกษาหาวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตแล้ว โดยมั่นใจว่าการสรรหา ส.ว. ที่จะมีขึ้น จะเป็นไปอย่างสุจริต
     พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตรที่มีการขึ้นรถแห่ผู้สมัครที่ จ.ชัยภูมิ ว่าทางสำนักงาน กกต.ต้องติดตามความเคลื่อนไหว ถ้าผิดกฎหมายความมั่นคงก็จะประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะในขณะนี้คสช.ยังไม่ปลดล็อก กกต.จะดำเนินคดีอย่างเท่าเทียมกัน ส่วนเรื่องการควบคุมการหาเสียงทางโซเชียลมีเดียเมื่อวานนี้ ทางสำนักงานได้มีการพิจารณายกร่างระเบียบว่าด้วยการหาเสียงทางโซเชียลมีเดียเป็นรอบที่สอง โดยได้รับฟังผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการควบคุมว่าจะทำได้แค่ไหนอย่างไร และจะเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพหรือไม่ เบื้องต้นเห็นว่าร่างกฎหมายควรเป็นการควบคุมแบบไม่จำกัดเสรีภาพ จะไม่มีมาตรการห้าม เพียงแต่จะทำ ใช้ช่องทางใดขอให้มาแจ้งให้ กกต.รับทราบ อย่างไรก็ตาม ก่อนออกระเบียบจะมีการรับฟังความคิดเห็นจากทางพรรคการเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้อง 
    "ส่วนในขณะนี้ที่มีการเปิดเพจเชิญชวนให้มาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ขอให้ระมัดระวัง เพราะยังไม่มีการคลายล็อก และอยากให้ศึกษา พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง โดยเฉพาะเรื่องการหาสมาชิกพรรคอย่างไม่ผิดกฎหมาย เนื่องจากตามกฎหมายหากมีการจูงใจด้วยผลประโยชน์ และการกระทำโดยพรรคมีสิทธิ์ถูกยุบพรรคได้ หากเป็นกระทำโดยบุคคลก็จะมีโทษปรับและติดคุก" พ.ต.อ.จรุงวิทย์กล่าว
"สุภรณ์"ลุยแจ้งความตร.
      นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์กรณีฟ้องกลับนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ สมาชิกกลุ่มสามมิตร จ.นครราชสีมา ข้อหาแจ้งความเท็จ หมิ่นประมาท กล่าวหาพรรคภูมิใจไทยซื้อเสียง ว่า ทางพรรคต้องการปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง และทีมกฎหมายจะไปยื่นดำเนินคดีในสัปดาห์หน้าแน่นอน ที่เหลือต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ต้องการนำเรื่องนี้มาใส่ใจ เพราะพรรคภูมิใจไทยต้องการทำงานการเมืองในรูปแบบสร้างสรรค์ พรรคภูมิใจไทยไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใคร แต่ถ้าใครรังแก ทางพรรคจำเป็นต้องปกป้องสิทธิ์ วันนี้อยากให้ฝ่ายการเมืองคิดให้ดี เพราะการทะเลาะเบาะแว้ง เปิดช่องให้เกิดการรัฐประหาร เราอยากจะกลับไปวังวนเดิมอีกหรือไม่ หรือต้องการไปสู่การเลือกตั้ง ตรงนี้นักการเมืองสามารถกำหนดได้
    ขณะที่นายสุภรณ์ได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ยืนยันว่า มีหลักฐานในการดำเนินการเก็บบัตรประจำตัวประชาชนของทีมงานว่าที่ผู้สมัครพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ทั้งที่เสนอตัวเป็นผู้สมัคร ส.ส.แบบเขต และในระบบบัญชีรายชื่อ และมีข้อมูลรายชื่อผู้ที่ดำเนินการเก็บบัตรประชาชนเพื่อส่งไปยังพรรคการเมืองมากกว่า 10 รายชื่อ ที่จะยื่นเพิ่มเติมให้ กกต.ประจำจังหวัดนครราชสีมา ได้พิจารณาควบคู่กับหลักฐานที่ส่งไปก่อนหน้านี้ และตอนนี้มีกลุ่มผู้ดำเนินการบางส่วนก็เข้ามาแสดงความบริสุทธิ์ใจ ด้วยการยอมรับว่ามีการว่าจ้างให้ดำเนินการนำบัตรประจำตัวประชาชนมาเพื่อการส่งให้กับพรรคการเมืองดังกล่าวจริง นอกจากนี้ ยังยืนยันว่ามีหลักฐานและข้อมูลเด็ดอีกหลายอย่างที่จะนำไปมอบให้กับ กกต.เพิ่มเติมหลังจากนี้
         นายสุภรณ์กล่าวว่า ภายใน 1-2 วันนี้ ตนจะเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.ครบุรี และ สภ.เสิงสาง เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่ว่าจ้างให้คนไปเก็บบัตรประชาชนของชาวบ้านในเขต อ.ครบุรี และ อ.เสิงสาง ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ในข้อหาทำผิด พ.ร.บ.ประกอบการเลือกตั้ง และฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ซึ่งตนจะนำหลักฐานเหล่านี้ไปยื่นให้กับ กกต.เพื่อประกอบการสืบสวนต่อไปอีกด้วย ซึ่งเป็นการบังคับข่มขืนใจให้ชาวบ้านสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง โดยไม่ได้เกิดจากความศรัทธาของของชาวบ้านตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 
    ยังมีความเห็นของง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ มอบหมายให้เรียกคนไม่มีผม ซึ่งออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเศรษฐกิจและจีดีพีของประเทศมาพูดคุยว่า “ก็เรียกมาอีกสิ ชอบอยากให้เรียกก็เรียก นักการเมืองก็พูดไปเรื่อย”
    ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดที่ วปอ. ถ้าหากหมายถึงตน ก็อยากให้กลับไปอ่านข้อเสนอแนะและการวิเคราะห์ของตนใหม่ เพราะสงสัยว่า พล.อ.ประยุทธ์จะอ่านข้อเสนอแนะและการวิเคราะห์ ไม่ละเอียด ได้บอกว่าถ้าไม่มีการประท้วงชัตดาวน์กรุงเทพฯ และไม่มีการปฏิวัติ เศรษฐกิจไทยก็จะโตได้ 4-5% ตั้งแต่ปี 57, 58 เป็นต้นไปแล้ว ซึ่งหากเป็นนักเศรษฐศาสตร์ จะเข้าใจดีถึงการตั้งสมมติฐานเพื่อนำมาวิเคราะห์ เพราะในปี 55 เศรษฐกิจไทยโตได้ถึง 6.6% และต่อมาในปี 56 ถ้าไม่มีการประท้วงในไตรมาสสุดท้าย สิ้นปีเศรษฐกิจก็น่าโตได้ ประมาณ 4% ดังนั้น ในปี 57 และ ปี 58 เรื่อยมาก็น่าจะโตได้ในระดับเดียวกันที่ประมาณ 4-5% เป็นอย่างต่ำอยู่แล้ว ซึ่งทั้งเวิลด์แบงก์และไอเอ็มเอฟ ก็ยืนยันศักยภาพของไทยในตัวเลขนี้ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ตามหลักการแบบสากลและตามสมมติฐาน ไม่ได้มีการบิดเบือน.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"