รวมพลคนต่อต้านคอร์รัปชัน "ประมนต์" ยอมรับในสายตาชาวโลกไทยยังสอบไม่ผ่าน แต่น่ายินดีรัฐบาลนี้เอาจริงเอาจัง ปลุกภาคเอกชนเลิกจ่ายสินบน ทำตัวเป็นหมาเฝ้าบ้านช่วยเห่าโจร ด้านองคมนตรีฝากพระบรมราโชวาทของในหลวง ร.9 ช่วยสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง "น้องแบม" แฉการเปิดโปงทุจริตสิ่งที่ตามมาคือการถูกคุกคาม
ที่ศูนย์การประชุมไบเทคบางนา มีการจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันประจำปี 2561 โดยองค์การต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) มีหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน ร่วมงานเป็นจำนวนมาก นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า จากการจัดอันดับล่าสุดของ The Corruption Perceptions Index (CPI) โดย Transparency International (TI) ที่ประกาศมาเมื่อต้นปี ประเทศไทยได้ 37 คะแนน จากคะแนนเต็มร้อย ดีขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน แต่ย้อนหลังไปหลายปี คะแนนเราก็วิ่งอยู่ในระดับ 35-38 มาตลอด แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้ก้าวผ่านจุดนี้เสียทีในสายตาชาวโลก
"คอร์รัปชันยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังอันดับต้นๆ ของประเทศ แต่ถ้าเราสามารถกำจัดมันให้หมดไปได้ จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ สังคม และส่วนรวม เพื่ออนาคตของลูกหลานของเราในวันข้างหน้า และผมเชื่อว่ากงล้อของการตื่นรู้สู้โกง ไม่ใหญ่เกินกว่าที่พลังของพวกเราทุกคนที่มาในงานครั้งนี้ หากเราพร้อมใจกันลุกขึ้นมาทำต่อ เราจะสามารถผลักดันให้มันเริ่มขยับ และหมุนต่อเนื่องไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพียงเริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆ ด้วยบทบาทของทุกคนที่มารวมกันอยู่ ณ ที่นี้"
นายประมนต์กล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดีว่าในช่วงรัฐบาลนี้เราได้เห็นการเอาจริงเอาจังในด้านนโยบายปราบปรามคอร์รัปชัน ปลุกคนไทยเฝ้าระวังการโกง ไม่ทนต่อการทุจริต และมีจิตสำนึกที่ถูกต้อง แต่ในด้านการปฏิบัติจริง ก็ยังมีจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุง ในฐานะข้าราชการ เราต้องไม่นิ่งเฉย ยอมให้เกิดการโกงกินภายใต้งานที่เราดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโกงเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมือง ที่มีหลายตัวอย่างให้เห็นว่า การนิ่งเฉยอาจต้องรับเคราะห์แทน
เขากล่าวว่า ในฐานะองค์กรเอกชน เป็นไปได้ไหมว่าเราจะตั้งเป้าหมายในแผนกลยุทธ์ ว่าเราจะไม่จ่ายสินบนเพื่อซื้อความสะดวก ซื้อความผิด หรือซื้อความได้เปรียบในการแข่งขัน ในฐานะสื่อมวลชน เราต้องทำตัวเป็นหมาเฝ้าบ้าน ที่กัดไม่ปล่อย ปกป้องผลประโยชน์ของเจ้าของบ้าน
"ไม่ว่าโจรผู้ร้ายจะมาไม้นวม หยิบยื่นขนมหวานให้ หรือมาไม้แข็ง ฟาดเราด้วยกระบอง เราก็ต้องไม่หวั่นไหว แต่เห่าให้ดังยิ่งขึ้น ให้เจ้าของบ้านรู้ตัว ในฐานะเยาวชน อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือน้องๆ ทุกคน เราจะปฏิเสธแม้การทุจริตเล็กๆ น้อยๆ เช่น ในการเรียนการสอน ไปจนถึงเราจะแสดงพลังให้ผู้ใหญ่รู้ว่าเราไม่ต้องการคนโกง"
นายประมนต์กล่าวว่า ถึงตรงนี้ พวกเราอย่ามาเสียเวลาตั้งคำถามว่าเมื่อไรคอร์รัปชันจะหมดไป แต่เราควรตั้งคำถามว่า เมื่อไรเราจะออกมามีส่วนร่วมในการปราบคอร์รัปชัน จากบทบาทหน้าที่การงานของแต่ละคน เราจะตื่นรู้สู้โกงกันอย่างไร ในวันต่อต้านคอร์รัปชันปีหน้า หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะไม่ต้องขึ้นมาพูด และท่านจะมานั่งฟังเพียงอย่างเดียว แต่เราจะเอาผลงาน ตื่นรู้สู้โกงที่แต่ละคนไปทำมาตลอดหนึ่งปี มาแบ่งปัน ถอดบทเรียน และพัฒนาให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
ด้านศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ปลุกพลังคนไทย สู้โกง” ตอนหนึ่งว่า นอกจากการต่อต้านคอร์รัปชันแล้ว สังคมไทยยังจำเป็นจะต้องสร้างคนดีขึ้นมาเพิ่มในสังคม ตลอด 7 ปีของการทำงานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน จะเห็นภาพได้ว่าคนที่มีความรู้มากจะมีการโกงที่พิสดารไม่น้อย แต่คนที่ความรู้น้อยก็โกงด้วยเช่นกัน ประเด็นสำคัญคือการสร้างธรรมะในใจเพื่อไม่ให้เกิดการโกง ซึ่งคนเราหากไม่อายเสียอย่าง ก็โกงได้หมด ผมเคยพูดคุยกับคนต่างชาติที่ได้วิเคราะห์ประเทศต่างๆ ในอาเซียน ซึ่งระบุว่าประเทศสิงคโปร์มีความโปร่งใส ขณะที่ประเทศไทยมีการโกงคอร์รัปชันเยอะมาก และประเทศไม่ได้เสียหายแค่เรื่องเงินเท่านั้น แต่บริษัทข้ามชาติที่ต้องการมาลงทุนด้วยความโปร่งใส ก็ไม่อยากจะมาลงทุน ดังนั้นก็จะมีแต่คนโกงที่จะเข้ามาทำงานกับคนโกงด้วยกันเท่านั้น ความเสียหายเกิดขึ้นมาก
องคมนตรีกล่าวว่า เราจะเอาความคิดไม่โกงไม่ทุจริตไปสอนลูกหลานได้หรือไม่ หรือเมื่อเห็นการโกงก็ต้องไม่อดทน และพร้อมจะเปิดโปง ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นพลเมืองดี เห็นอะไรทำเพื่อบ้านเมืองได้ก็ทำ เริ่มปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กได้จะดีมาก แต่หากเราปล่อยให้เด็กเริ่มโกงข้อสอบ โกงการบ้าน หรือลอกการบ้านเพื่อน ทุกอย่างก็จะผิดหมดเลย เราต้องเริ่มใหม่ ทั้งจากที่บ้าน ที่พ่อแม่คอยอบรมลูกหลาน และที่ทำงาน ที่หัวหน้างานก็ต้องคอยปลูกฝังพนักงาน
"การทำงานต่อต้านโกงเป็นเรื่องที่ยาก และจะสำเร็จเมื่อใดก็ขึ้นอยู่กับคนไทยในปัจจุบันและอนาคตว่าจะต่อต้านอย่างแข็งขันต่อเนื่องได้อย่างไร ขอฝากพระบรมราโชวาทของในหลวง ร.9 ที่รับสั่งว่า ช่วยสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง การสร้างคนดีเป็นเรื่องที่ยากและยาว แต่ก็ต้องทำ ขอให้ถือเป็นหน้าที่” ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษมกล่าว
จากนั้นมีการจัดเวทีเสวนา “คนไทย ตื่นรู้สู้โกง” คนไทยจะลุกขึ้นมาปกป้องประเทศต่อต้านการโกงชาติได้อย่างไร โดยมี น.ส.ปณิดา ยศปัญญา (น้องแบม) และ น.ส.ณัฐกานต์ หมื่นพล ผู้เปิดโปงการทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและคนไร้ที่พึ่ง, นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ, น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี, นายปรารภ เหมทานนท์ ผู้เปิดโปงการทุจริตภาครัฐกว่า 270 คดี เข้าร่วมการเสวนา
น.ส.ณัฐกานต์กล่าวว่า แรงบันดาลใจเกิดจากการเห็นแนวทางการดำเนินชีวิตของชาวบ้านที่มีความเดือดร้อน ซึ่งแม้ว่าตนจะเป็นเพียงลูกจ้างตัวเล็กๆ ในศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้ซึมซับถึงปัญหาที่แท้จริงของพวกเขาเหล่านี้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นปัญหาที่ใหญ่มาก สำหรับผู้ด้อยโอกาสเหล่านี้ ทุกอย่างดูเลวร้ายไปหมด ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ควรได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ พวกเขาเองไม่รู้ว่าจะได้อะไรบ้าง แต่เราเป็นคนในหน่วยงานซึ่งรู้ดีว่าปัญหาเหล่านี้หนักหนาสาหัสแค่ไหน ซึ่งพวกเขาควรได้รับความช่วยเหลือของรัฐอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ตนตัดสินใจที่จะนำเรื่องเหล่านี้ออกมาเปิดโปง
ด้าน น.ส.ปณิดากล่าวว่า ตนเรียนมาเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน เมื่อได้ฝึกงานในหน่วยงานรัฐ ทำให้เห็นปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องผู้ด้อยโอกาส คนไร้ที่พึ่ง ขอทาน หรือแม้กระทั่งชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ ซึ่งแรงบันดาลใจเกิดจากที่สงสัยว่า คนเหล่านี้รู้หรือไม่ว่าสิทธิที่เขาควรได้รับจากภาครัฐมีอะไรบ้าง แต่การที่เราเปิดโปงการทุจริตทำให้มีโดนคุกคามบ้าง ซึ่งเราต้องหาวิธีการรับมือกับเรื่องนี้ ให้สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติ ซึ่งทุกวันนี้ตนสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติดี
นพ.ธีระเกียรติกล่าวว่า การเดินหน้าจัดการเรื่องทุจริตในกระทรวงศึกษาธิการ เราไม่ได้เดินหน้าไล่ล่าจับโกง แต่เรามองว่าทุกสิ่งต้องดำเนินการอย่างถูกต้องเป็นขั้นตอน ผ่านการใช้กฎหมายที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วที่สุด เนื่องจากกฎหมายนั้นเอื้อต่อการตรวจสอบอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องทำอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น เพราะกระบวนการยุติธรรมนั้น หากดำเนินการช้า ย่อมไม่เรียกว่ากระบวนการยุติธรรม ในส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างนั้น ต้องมีการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน หากมีปัญหาหรือมีแนวโน้มจะบิดพลิ้วในขั้นตอนการซื้อขายนั้น เราจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้
ขณะที่ น.ส.รื่นฤดีกล่าวว่า เราต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้การบริหารคดีนั้นมีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยยึดหลักสำคัญ ได้แก่ ซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส และเป็นธรรม ซึ่งตนได้ชี้แจงแก่ข้าราชการของกรมบังคับคดีทุกคนทั่วประเทศ แม้จะเป็นเรื่องคดียุติธรรมทางแพ่ง แต่ผลสัมฤทธิ์จะเป็นตัวตอบโจทย์ความเชื่อมั่นของประชาชน เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่ากระบวนการดำเนินการนั้นมีความชัดเจน ประกอบกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาประกอบเพื่อความสะดวกในการตรวจสอบของพี่น้องประชาชน
ด้านนายปรารภกล่าวว่า เคสอาหารกลางวันนั้น ตนอยู่ในพื้นที่ ได้รับรู้เรื่องจากการประท้วงของผู้ปกครอง ก่อนมีการหาข้อมูลจนพบว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ผลจากการกระทำดังกล่าว ทำให้ผู้ปกครองหันมาใส่ใจว่าบุตรหลานของตัวเองได้ทานอะไรในมื้อกลางวัน ส่งผลให้มีการตื่นตัวเป็นวงกว้าง และเด็กๆ ในโรงเรียนพื้นที่อื่นๆ ได้รับสิ่งที่พวกเขาควรจะได้ ซึ่งการตื่นรู้สู้โกง ไม่ใช่การจับผิดอะไรใคร เพียงแค่บอกคนอื่นว่าคุณเพียงทำในสิ่งที่ถูกต้องและควรทำเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำเพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |