สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน/ ผอ.พอช.ชี้แจงข่าวบ้านมั่นคงริมคลอง กรณีศรีสุวรรณและชาวชุมชนริมคลองบางส่วนยื่นหนังสือร้องเรียนไม่เข้าร่วมโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ยืนยันทำตามนโยบายจัดระเบียบชุมชนริมคลองของรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ขณะที่ชาวบ้านจะได้มีที่อยู่อาศัยใหม่ที่มั่นคง เปลี่ยนจากผู้บุกรุกเป็นผู้เช่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 147,000 บาท พร้อมสินเชื่อสร้างบ้านไม่เกิน 400,000 บาท และสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม ส่งเสริมอาชีพและรายได้ ที่ผ่านมาดำเนินการเสร็จไปแล้ว 31 ชุมชน รวม 2,602 หลัง
ตามที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย พร้อมชาวชุมชนริมคลองจำนวนหนึ่งไปยื่นหนังสือที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนประชาชน (ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล) ถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 กันยายน เพื่อขอให้สั่งการให้กรมธนารักษ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแจ้งอัยการเพื่อถอนฟ้องชาวบ้านที่ไม่ขัดขวางโครงการสร้างเขื่อนระบายน้ำคลองลาดพร้าว รวมทั้งชี้แจงการไม่เข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงริมคลองที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ ดำเนินการ โดยอ้างว่าได้รับเงินช่วยเหลือด้านสาธารณูปโภคเพียงหลังละ 50,000 บาท และชาวบ้านไม่อยากเป็นหนี้จึงไม่เข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงนั้น
นายสมชาติ ภาระสุวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ กล่าวชี้แจงว่า โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2554 โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการระบายน้ำในคลองสายหลักในกรุงเทพฯ ไม่คล่องตัว เนื่องจากมีสิ่งปลูกสร้างกีดขวางทางเดินน้ำ ต่อมาในปี 2555 กรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงมีความเห็นให้มีการจัดระเบียบสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำ และสร้างเขื่อนระบายน้ำในคลองสายหลักในกรุงเทพฯ แต่รัฐบาลในขณะนั้นยังไม่ได้ดำเนิน จนมาถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันจึงเริ่มดำเนินการในคลองลาดพร้าว โดยให้สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร รับผิดชอบการสร้างเขื่อนระบายน้ำในคลองลาดพร้าว ความยาวทั้งสองฝั่งประมาณ 45 กิโลเมตร ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการ
“ส่วน พอช.รัฐบาลมอบหมายให้จัดทำแผนงานรองรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อน รวมทั้งหมด 50 ชุมชน รวม 7,069 ครัวเรือน โดยมีหลักการสำคัญคือ 1.ชุมชนใดที่อาศัยอยู่ในชุมชนเดิมได้ หลังจากที่รื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวคลองและแนวเขื่อนแล้ว จะต้องรื้อย้ายบ้านเพื่อปรับผังชุมชนใหม่ เพื่อให้ทุกครอบครัวสามารถอยู่ในชุมชนเดิมได้ ซึ่งจะทำให้สะดวกต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาเล่าเรียนของบุตรหลาน ดังนั้นทุกครอบครัวจะได้รับการจัดสรรที่ดินเท่าๆ กัน แต่เนื่องจากพื้นที่ริมคลองมีความคับแคบ ดังนั้นบ้านที่สร้างใหม่จะเป็นบ้าน 2 ชั้น ขนาดประมาณ 4 X 7 ตารางเมตร และ 2.หากชุมชนใดอยู่ในที่ดินเดิมไม่ได้ เพราะที่ดินเหลือจากแนวสร้างเขื่อนไม่พอ ชาวบ้านจะต้องรวมตัวกันไปจัดหาที่ดินเพื่อสร้างบ้านใหม่ ซึ่งขณะนี้ดำเนินการไปแล้วหลายชุมชน โดย พอช.จะสนับสนุนงบประมาณ” ผอ.พอช.กล่าว
ผอ.พอช.กล่าวถึงงบประมาณสนับสนุนการก่อสร้างบ้านใหม่ว่า พอช.จะสนับสนุนงบประมาณด้านสาธารณูปโภคครัวเรือนละ 50,000 บาท (ถนน ไฟฟ้า ประปา ระบบบำบัดน้ำเสียรวม) งบอุดหนุนการสร้างบ้านครัวเรือนละ 25,000 บาท และเงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบครัวเรือนละ 72,000 บาท (ค่าเช่าบ้าน, ค่ารื้อย้าย, ลดหย่อนเงินกู้ ฯลฯ) รวมเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 147,000 บาท และสินเชื่อก่อสร้างบ้านตามราคาก่อสร้างบ้านจริง (ไม่เกิน 400,000 บาท) ผ่อนชำระคืน 15-20 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 บาท (คงที่ตลอดสัญญา)
สำหรับความคืบหน้าในการสร้างบ้านมั่นคงริมคลองลาดพร้าว หรือ “บ้านประชารัฐริมคลอง” นั้น นายสมชาติกล่าวว่า ขณะนี้สร้างเสร็จแล้ว 2,602 หลัง รวม 31 ชุมชน ในพื้นที่ 8 เขต คือ วังทองหลาง ห้วยขวาง วังทองหลาง จตุจักร บางเขน หลักสี่ ดอนเมือง และสายไหม และเตรียมก่อสร้างเพิ่มเติมอีก 314 หลัง โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยในคลองลาดพร้าวจำนวน 5,196 ครัวเรือน และยังมีผู้ที่ไม่เข้าร่วมจำนวน 1,645 ครัวเรือน
ส่วนการดำเนินการฟ้องร้องแกนนำชาวบ้านที่ไม่เข้าร่วมหรือคัดค้านการจัดระเบียบชุมชนริมคลองนั้น นายสมชาติกล่าวว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของกรมธนารักษ์ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลที่ดินราชพัสดุริมคลอง เนื่องจากที่ดินที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ริมคลองส่วนใหญ่เป็นที่ดินราชพัสดุ ชาวบ้านเข้าไปปลูกสร้างบ้านเรือนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมธนารักษ์ แต่เมื่อมีการจัดระเบียบชุมชนริมคลอง กรมธนารักษ์จึงให้ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงริมคลองเช่าที่ดินริมคลองจากกรมธนารักษ์ในอัตราผ่อนปรน ราคาตารางวาละ 1.50 - 3 บาทต่อเดือน ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ถูกมาก และเช่าที่ดินได้คราวละ 30 ปี เปลี่ยนจากผู้บุกรุกเป็นผู้เช่าอย่างถูกกฎหมาย ทั้งนี้ประชาชนที่จะทำสัญญาเช่าที่ดิน จะต้องรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์เคหสถานและเข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคง เพื่อให้การบริหารจัดการทั้งเรื่องการเช่าที่ดินและก่อสร้างบ้านเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ
“พอช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ทอดทิ้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบชุมชนริมคลอง เพราะมีการจัดทำแผนงานที่อยู่อาศัยรองรับ มีงบประมาณสนับสนุน แม้จะไม่ได้ช่วยเหลือทั้งหมด แต่ประชาชนก็จะต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาที่อยู่อาศัยของตนเองด้วย นอกจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตต่างๆ ในพื้นที่ กรมธนารักษ์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ฯลฯ ก็จะร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมในชุมชนให้ดีขึ้น เช่น มีสวนหย่อม มีทางจักรยานเลียบคลอง มีสนามเด็กเล่น มีบ้านกลางสำหรับผู้ด้อยโอกาสในชุมชนได้อยู่อาศัย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมทั้งส่งเสริมอาชีพต่างๆ เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้” ผอ.พอช.กล่าว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในปี 2559 ได้มีกลุ่มชาวบ้านชุมชนวังหิน เขตจตุจักร รวม 54 คน ซึ่งคัดค้านโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าวได้ฟ้องร้องต่อศาลปกครอง โดยกล่าวหาว่าผู้อำนวยการเขตจตุจักรและผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีเขตจตุจักรมีคำสั่งให้ชาวชุมชนวังหินรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากพื้นที่ริมคลอง
ต่อมาในเดือนเมษายน 2560 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความ โดยให้เหตุผลตอนหนึ่งว่า...”คดีนี้มีข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องร้องคดีที่ 43 ได้เข้าไปปลูกสร้างบ้านพักอาศัยในที่ดินราชพัสดุของกรมธนารักษ์ โดยไม่มีเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีจึงเป็นการบุกรุกที่ดินซึ่งเป็นที่ราชพัสดุ อันเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย...ดังนั้นโดยนิตินัย ผู้ฟ้องร้องคดีที่ 43 จึงไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายที่จะมีสิทธิฟ้องร้องในคดีได้....”
ขณะที่ นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่า กทม. กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า การสร้างเขื่อนระบายน้ำในคลองลาดพร้าวจะทำให้พื้นที่คลองเปิด ทำให้การขุดลอกคูคลองได้ง่ายขึ้น มีทางระบายน้ำได้ดียิ่งขึ้น และนอกจากเรื่องระบายน้ำแล้วยังเป็นเรื่องทางสัญจรด้วย เพราะเป็นนโยบายของทางกรุงเทพมหานคร คือ “ล้อ ราง เรือ” ซึ่งในอนาคตจะเป็นจุดเชื่อมต่อนั่งเรือแล้วไปขึ้นรถไฟฟ้า
“ส่วนเรื่องกลุ่มผู้ที่คัดค้านและยังไม่เข้าร่วมโครงการทำให้การก่อสร้างเขื่อนฯ ล่าช้า และทาง กทม.มีมาตรการจะใช้ ปว.44 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายนั้น ขณะนี้จะให้เจ้าหน้าที่เขตทั้ง 8 เขตเข้าไปพูดคุยอีกครั้งหนึ่งก่อน แต่ถ้าพูดคุยแล้วยังไม่เรียบร้อย เพื่อให้งานเดินและให้เสร็จตามเป้าอาจจะมีความจำเป็นต้องใช้ ปว.44 ซึ่งทางรองผู้ว่า กทม. นายจักรพันธ์ ผิวงาม ที่คุมสำนักระบายน้ำจะเป็นผู้พิจารณาและนำเสนอผู้ว่าฯ อีกครั้งภายใน 1- 2 เดือนนี้” นายสกลธีกล่าว
รองผู้ว่า กทม.กล่าวด้วยว่า การก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำคลองลาดพร้าวตามสัญญาจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2562 แต่จากปัญหากลุ่มชาวบ้านที่ยังไม่เข้าร่วมโครงการ ซึ่ง กทม.จะดำเนินการตามกฎหมายมีทั้งหมดประมาณ 470 หลังในพื้นที่ริมคลองลาดพร้าว 8 เขต ทำให้ผู้รับเหมาไม่สามารถเข้าไปตอกเสาเข็มได้ตามเป้าหมาย จึงคาดว่าจะทำให้การก่อสร้างเขื่อนต้องล่าช้าออกไป
ทั้งนี้ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 44 ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมีอำนาจในการติดประกาศเพื่อให้ผู้รุกล้ำลำคลองรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่ภายใน 15 วัน หากยังดื้อแพ่งและไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เจ้าหน้าที่จากสำนักงานเขตสามารถรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างได้ทันที อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กรมธนารักษ์ในฐานะหน่วยงานเจ้าของที่ดินราชพัสดุริมคลองได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกลุ่มแกนนำชุมชนริมคลองประมาณ 65 รายที่ปลูกสร้างบ้านเรือนรุกล้ำที่ดินราชพัสดุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการในชั้นอัยการ
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |