ใกล้คลายล็อกการเมืองในเดือนกันยายนนี้ บรรยากาศหาเสียงเพื่อไปสู่การเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ.62 กลับมาดุเดือดเลือดพล่าน โดยเฉพาะสมรภูมิรบเมืองนครราชสีมา ที่มีจำนวน ส.ส.มากสุดในประเทศ 

     หลัง “แรมโบ้อีสาน” นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตนปช.สายฮาร์ดคอร์ และแนวร่วมกลุ่มสามมิตร ที่มีแนวโน้มจะสังกัดพรรคพลังประชารัฐ เปิดฉากเล่นใหญ่ ชงเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยุบพรรคภูมิใจไทย

     ในข้อกล่าวหาว่านายพรชัย อำนวยทรัพย์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมาเขตอำเภอครบุรี และนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล อดีต ส.ว.นครราชสีมา เจ้าของโรงงานแป้งมันสำปะหลังเอี่ยมเฮง อำเภอเสิงสาง ที่อ้างเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย จ้างอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)  เก็บบัตรประชาชนล่วงหน้าเพื่อมาเป็นสมาชิกพรรค

     แต่ถูกโต้กลับโดยรุ่นใหญ่คือ นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และ นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรค ภท. เตรียมฟ้องดำเนินคดี 2 ข้อหา คือ คดีหมิ่นประมาทและแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานภายในสัปดาห์หน้า

     ตามมาติดๆ โดยนายพรชัย ผู้ถูกกล่าวหา ออกมาตัดตอนเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทย แต่ที่มีสำเนาบัตรประชาชน เพราะต้องการพลังสนับสนุนของชาวบ้าน เพื่อไปเสนอตัวต่อพรรคภูมิใจไทย หลังกฎหมายเรียกร้องให้ทำไพรมารีโหวต ส่วนพรรคอันดับสามของประเทศจะพิจารณารับหรือไม่เป็นอีกประเด็น

     เมื่อสถานการณ์พลิกกลับตาลปัตร จึงทำให้อดีตแนวร่วม นปช. สุ่มเสี่ยงตกที่นั่งลำบากทั้งทางการดำเนินชีวิต ส่วนตัวและเส้นทางการเมือง 

จากเดิมเชื่อว่าเขาต้องการปั่นราคาให้ตัวเองให้ดูดีในสายตาทหารและแกนนำกลุ่มสามมิตร

     อีกทั้งต้องการเด็ดหัวนายพรชัยและนายวีระศักดิ์ คู่แข่งคนสำคัญตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ที่คราวนี้จับมือผนึกกำลังขึ้นมาเล่นการเมืองระดับชาติ และทราบดีว่าศักยภาพตัวเองเป็นรองหลายช่วงเสาไฟฟ้า โดยเฉพาะฐานคะแนนส่วนตัวแทบไม่มีในพื้นที่อำเภอครบุรี อำเภอเสิงสาง หลังชาวบ้านไม่พอใจ เพราะทรยศไปอยู่กับฝ่ายเผด็จการ

     ที่สำคัญยังทำให้เกิดอาหารขาสั่น หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่เปรียบเสมือนโคราชเป็นบ้านหลังที่สองเพราะมีที่พักอีกหลังอยู่ที่อำเภอปากช่อง ประกาศให้ลูกพรรคสู้เต็มที่ ด้วยทุนระดับหมื่นล้าน ภายใต้ธงบริษัท ซิโน-ไทยฯ ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศ

     แม้แรมโบ้อีสานถึงจะปากกล้า จะนำพยานหลักฐานขึ้นสู้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะนอกจากฝ่ายพรรคภูมิใจไทยจะบอกว่าเป็นความเท็จและตัดตอนเรื่องไปแล้ว จึงอาจไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานยุบพรรคตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพรรคการเมืองมาตรา 30

     อีกทั้งยังเชื่อว่า ผู้ร้องจะไม่มีพยานบุคคลมายืนยันว่ามีการใช้เงินซื้อเสียงล่วงหน้า เมื่อไปดูมาตรา 31 ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด จากพรรคการเมืองหรือจากผู้ใดเพื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิก เพราะมีโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งห้าปี

     โทษหนักขนาดนี้มีหรือชาวบ้าน หรือผู้ใดที่จะกล้ายอมรับเงิน หรือทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด และแสดงตัวอยู่ข้างแรมโบ้อีสาน ที่ตอนนี้ตกอยู่ในสภาพหัวเดียวกระเทียมลีบ                                                                                   

     ฉะนั้น สิ่งที่จะประเมินหลังจากนี้ของอดีต นปช.สายฮาร์ดคอร์ เชื่อว่าผู้ใหญ่กลุ่มสามมิตรและผู้มีอำนาจคงเรียกมาเขกกะโหลก ที่ยังเล่นการเมืองมุ่งทำลายล้าง ในยุคที่คสช.ต้องการความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

     ผลประการต่อมา กลุ่มสามมิตรอาจตัดสินใจไม่ส่งลงรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.นามพรรคพลังประชารัฐ เพราะแรมโบ้อีสานอาจไม่มีเวลาหาเสียงเลือกตั้ง ต้องวุ่นวายกับการขึ้นโรงขึ้นศาลต่อสู้คดีที่ตัวเองถูกฟ้องหลายข้อหา

     รวมทั้งยังขัดกับนโยบายกลุ่มสามมิตร ที่ต้องการสร้างความปรองดอง ลดความขัดแย้ง และไม่มั่นใจว่าจะก่อปัญหาในอนาคตอีกหรือไม่

ที่สำคัญต้องรักษาพันธมิตรหลัก คือ พรรคภูมิใจไทย   เปรียบเป็นนั่งร้านที่จะพา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 60 ไม่มีพรรคการเมืองใดมีเสียงข้างมากเด็ดขาด ในขณะที่พรรคเพื่อไทยและเบื้องต้นพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศอยู่ตรงข้ามไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช. ทั้งทางตรงและอ้อม

      หากวิบากกรรมเป็นเช่นนั้นจริง นายสุภรณ์อาจมานั่งโทษตัวเอง เสียใจภายหลัง เพราะเล่นการเมืองไม่รู้เหนือรู้ใต้ คร่อมจังหวะไม่ดูคีย์สัญญาณของผู้มีอำนาจ

       หรือจริงๆ แล้ว อาจเป็นผลกรรมหรือไม่ ที่ “แรมโบ้อีสาน” ผิดคำสาบานกับ “ย่าโม” จะไม่เล่นการเมือง แต่สุดท้ายกลืนน้ำลายตัวเอง และประกาศสนับสนุน “ลุงตู่” เป็นนายกฯ หลังเลือกตั้ง”?.