"ดูเขา-ดูเรา" ในสถานการณ์สงคราม "เศรษฐกิจล้างโลก" ปัจจุบันนี้แล้ว
บอกได้คำเดียว..........
ประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)
ไทยเรา "เจ๋ง" ที่สุด!
ในขณะที่หลายๆ ประเทศในภูมิภาค เช่น ตุรกี อิหร่าน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และ ฯลฯ
"ค่าเงิน" ลดฮวบๆ เป็นรายวัน
แต่ "เงินบาท" ของไทย ท่ามกลางสงคราม "จัดระเบียบโลกใหม่" ที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการทาง "การค้า-การเงิน" เป็นอาวุธโจมตีกลุ่มประเทศนอกแถว
บาทไทย "เสถียรที่สุด"
ด้วยฐานะประเทศมั่นคง ติดอันดับโลก!
ก็อยากบอกให้รู้ไว้ สำหรับพวกชังชาติ ที่ชอบยกบ้านอื่น-เมืองอื่นแบบฉาบฉวยมาเหยียบบ้านตัวเองเป็นประจำ
ไม่ใช่เพราะ "รัฐบาลประยุทธ์" เก่ง ฐานะประเทศจึงแกร่ง ในขณะที่กลุ่ม EM หลายๆ ประเทศทั่วโลก
อยู่ในแถว "โดมิโนเวเนซุเอลา"!
ต้องบอกว่า.........
หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี ๒๕๔๐ เป็นต้นมา ผู้นำรัฐบาลแต่ละยุค และผู้บริหารแบงก์ชาติ จนถึงปัจจุบัน
มีส่วนร่วมทำให้ประเทศไทย "เด่นสง่า" ในสถานการณ์นี้ ท่ามกลางวิกฤติสงคราม "การค้า-การเงิน" โลก ที่สหรัฐฯ ล้มการใช้ "ทองคำ-น้ำมัน" ค้ำค่าเงิน
แล้วใช้ความเป็น "เจ้าโลก-เจ้าตลาด" ตีเป็นค่า "ค้ำกระดาษ" ที่เรียกเงินดอลลาร์ เป็นอาวุธเศรษฐกิจบีบโลก ผ่านกลุ่ม "แอนตี้ดอลลาร์" จนกระแด่วๆ
กระทั่ง รัสเซีย-จีน-บราซิล ยุโรป ที่กำลังตีจากดอลลาร์สู่เงินสกุลใหม่ในตลาดซื้อขาย ใหญ่ขนาดนั้น ก็ยังหน้าสั่น
ที่ไทยเรายืนมั่นคง ในความเห็นผม มาจาก ๒ สาเหตุ
๑."ต้มยำกุ้ง" เป็นบทเรียนให้สอบผ่าน
๒."วิสัยทัศน์" แต่ละรัฐบาล ในแต่ละย่างก้าว การเงิน-การคลัง-การค้า และการต่างประเทศ
ตรงนี้ ต้องชมกันเองในความเป็น "ประเทศไทย" โดยส่วนรวม
ทะเลาะกันบ้าง ไล่ตี ไล่ฆ่า อิจฉา ด่าทอกันบ้าง แต่ในความเป็นแก่น-เป็นแกนประเทศ
ทั้งรัฐ-ราษฎร์ "สงวนจุดต่าง-พิทักษ์จุดตาย" มีผลน่าชื่นใจอย่างตอนนี้
พวกเราอาจเหมือนปลา-เหมือนนก อยู่ในน้ำ ในอากาศ แต่มองไม่เห็นน้ำและอากาศ
เช่นตอนนี้ ชาติอื่นมองเราด้วยอิจฉาในเสถียรเกือบทุกด้าน
แต่เรากันเอง กลับไม่รู้-ไม่เห็น ว่าไทยเรามันดี มันเด่น มันเสถียรตรงไหน วันๆ สำเริง-สำราญ แสนจะฝืดเคือง
เอางี้..........
ผมตอบเอง ในตัวไม่มีเครดิตให้เชื่อถือ
"ดร.วิรไท สันติประภพ" ตำแหน่งผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ เป็นเครดิตให้เชื่อถือได้
ท่านไปแจงกลางวงสัมมนาตลาดหลักทรัพย์ฯ จัด เมื่อปลายสิงหา ไม่ทราบว่าฟังกันหรือเปล่า?
ถ้ายังไม่ได้ฟัง ไปหาอ่านที่ thaipublica.org ก็ได้ และวันนี้ ขออนุญาตไทยพับลิกา
นำ "ถาม-ตอบ" กับผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ "บางตอน" มาลงให้อ่าน เพื่อยืนยันถึงสถานะแกร่งประเทศยามนี้
ถาม.......
"การดำเนินนโยบายการเงินในสหรัฐซึ่งมีผลต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายและส่งผลกระทบไปหลายประเทศแล้ว เช่น อาร์เจนตินา ตุรกี สำหรับประเทศไทยมีภูมิต้านทานแข็งแกร่งแค่ไหน?"
ตอบ......
ฐานะต่างประเทศของไทยค่อนข้างแข็งแกร่ง ผมขอบอกว่า แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มประเทศ emerging countries เพราะพึ่งพาเงินทุนต่างประเทศน้อยมาก
โดย "เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ" มีจำนวนมาก สูงถึงกว่า ๕ เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
และมากถึง ๑.๔ เท่าของหนี้ต่างประเทศ โดยรวมทั้งหนี้ภาครัฐ ภาคเอกชน หนี้ระยะสั้น หนี้ระยะยาวรวมกัน
นอกจากนี้ ไทยยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง ๑๐% ของจีดีพี ในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา
และคาดว่าปีนี้ จะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดราว ๔๐ พันล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นตัวกันชนที่ดี (Good Buffer)
“ดังนั้น เราจึงมีเอกราชในการบริหารนโยบายการเงินตามเจตนาของเราเอง
ซึ่งแตกต่างจากประเทศในกลุ่ม emerging market ด้วยกัน ที่บางประเทศ มีความเปราะบางต่อเงื่อนไขภายนอก
จึงต้องตอบสนองต่อการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดหรือการปรับอัตราดอกเบี้ยของโลกแบบที่เร็วกว่าไทย หรือตอบสนองในทันที
ดังนั้น ความจำเป็นของไทยที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น จากแรงกดดันของปัจจัยภายนอก ก็ไม่มี ต่างจากประเทศในกลุ่ม emerging ด้วยกัน
และเรามีเอกราชในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศ”
ถาม......
จากฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีจำนวนมาก ประเทศไทยถือว่าอนุรักษนิยม (Too conservative) หรือไม่?
ตอบ......
Too conservative หมายความว่าอย่างไร เมื่อมองเศรษฐกิจในภาพรวม จะต้องมองแบบภาพกว้าง
ประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้อัดฉีดเงินเข้าระบบจำนวนมหาศาล ส่งผลให้กระแสเงินไหลเข้าประเทศ emerging countries
แต่มาวันหนึ่ง กลับดำเนินนโยบายการเงินแบบ Normalization เป็นการกลับทิศทางกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย ในช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ประเทศที่มีกันชนที่ดี สามารถผ่านพ้นภาวะความผันผวนมาได้
และความผันผวนที่กำลังเพิ่มขึ้นนั้น แสดงให้เห็นว่าประเทศที่ไม่มีกันชนที่ดีเป็นอย่างไร
ซึ่งเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นตัวกันชนตัวหนึ่งที่ประเทศควรจะมี
ถาม........
ปัจจัยใดที่ทำให้ไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูง?
ตอบ......
การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด การพึ่งพาเงินทุนต่างประเทศต่ำ ซึ่งขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน คือ Non-resident holding หรือการถือครองพันธบัตรของต่างชาติ ทั้งพันธบัตรรัฐ พันธบัตรธนาคารกลาง พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ มีเพียง ๑๐% เท่านั้น ขณะที่ประเทศ emerging market บางประเทศ สูงถึง ๔๐% จึงมีความเปราะบางต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของโลกมากกว่าไทย
อีกทั้ง "สภาพคล่องในประเทศ" ยังอยู่ในระดับสูง
ธนาคารพาณิชย์ พึ่งพิงแหล่งสภาพคล่องในประเทศ คือ เงินฝาก สำหรับการปล่อยสินเชื่อมากกว่าเงินทุนต่างประเทศ
ดังนั้น ไม่ว่าในตลาดการเงินโลกเกิดอะไรขึ้น จึงไม่ส่งผลทันที หรือกลายเป็นภัยคุกคามทำให้สภาพคล่องในประเทศหายไป หรือเกิดสภาวการณ์ขาดสภาพคล่อง เหมือนประเทศ emerging countries
“ธนาคารพาณิชย์ไทย ก็ถือเป็นตัวกันชนที่ดีอีกตัวหนึ่ง เมื่อพิจารณาจากความเพียงพอของเงินกองทุน
การบริหารความเสี่ยง เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์ขณะนี้ กับสถานการณ์ใน ๒๐ ปีที่ผ่านมาในช่วงวิกฤติการเงิน การบริหารความเสี่ยงเปลี่ยนไปอย่างมาก”
จริงๆ แล้ว ประเทศไทย โดยคนไทย เป็นประเทศมีวิสัยทัศน์
วิสัยทัศน์ หรือวิชัน ก็คือ "การมองการณ์ไกล"
ยามอยู่สบาย เราจะหาเรื่องกัดกันเอง เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ นี่เป็นพื้นฐานคนไทย
แต่ที่เป็น "ขันธสันดาน" จริงๆ คือ พวกกูกัดกัน แย่งบ้าน-แย่งเมืองกันเองได้
แต่คนอื่น บ้านอื่น-เมืองอื่น.......
มึงอย่าแหยม อย่าเสือกเข้ามาเป็นอันขาด ถ้าเสือกเข้ามา พวกกูเลิกกัดกันเอง
หันไปรวมเขี้ยว แล้วกัดพวกมึงตายเลย
นี่คือ "ธาตุแท้" ไทย!
ชาติไทย เป็นชาติ "มองการณ์ไกล" ไม่งั้น ตกเป็นขี้ข้าชาติอื่นไปนานแล้ว ไม่เหลือ ๑ เดียว ในภูมิภาคนี้หรอก
กรณีเวเนซุเอลา ถ้าใช้การมองการณ์ไกล เราจะเห็นอะไรดีๆ มากกว่ามองเพื่อยกมากระแนะ-กระแหนกันเอง
ประเทศแถบอเมริกาใต้ พื้นฐานเป็นประเทศเกษตรเหมือนเรา
เวเนซุเอลา มีน้ำมันโคตรๆ มีแร่ธาตุ มีนางงามจักรวาลเหมือนเรา สัมพันธ์ค้าขายกับไทยมาร่วม ๔๐ ปี
เพราะน้ำมันเยอะ บาร์เรลละร้อยกว่าเหรียญมานาน จึงร่ำรวย ไม่ต้องทำอย่างอื่นกิน น้ำมันแทบใช้ฟรี
แถมสินค้า ก็บังคับผู้ผลิตให้ขายถูกกว่าทุน เรียกว่าประชานิยมสุดดาก
พอน้ำมันจากร้อยเหลือ ๔๐-๕๐ เหรียญ บวกกับแยกวงจากสหรัฐฯ ไปสร้างอำนาจใหม่กับจีน-รัสเซีย
เดินนโยบายพลาด เลยพังทั้งชาติ น้ำมัน กินแทนข้าวแทนหยูกยา แทนข้าวของเครื่องใช้ไม่ได้
จะสั่งเข้ามา ก็ไม่มีดอลลาร์ เอาเงินโบลิวาร์ที่พิมพ์เองไปซื้อ ก็ไม่มีใครเอา
สะท้อนกลับมาบ้านเรา เพราะการมองการณ์ไกลของผู้บริหารแต่ละยูนิตประเทศไทยเรานี่แหละ
ไม่เดินนโยบายผลีผลาม "รักใคร-ชังใคร" ก็ไม่รีบชิงหอบผ้าหนีตามเขาไป
การ "ชั่งใจ-สร้างสมดุล" ช้าบ้าง แต่ชัวร์ เป็นวิสัยทัศน์นำประเทศรอดอย่างนั้นจริงๆ
เวเนฯ มีน้ำมัน-มีก๊าซ "กินไม่ได้"
แต่ไทยเรา "มีข้าว-มีอาหาร" เยอะ ที่ผ่านมา รถยนต์-โทรทัศน์-วิทยุ-พัดลม-ตู้เย็น-ยาง เราส่งไปขายอยู่แล้ว
ไทยมีเซ็นเตอร์ "ส่งเสริมการค้า" ย่านลาตินอเมริกาอยู่ชิลีก็น่าหาทางเอาอาหารเราไปแลกน้ำมัน-ก๊าซเขานะ
คิดในหลักเพื่อ "เพื่อนมนุษย์" ยามยาก
ข้าวปลาอาหารเราเหลือทิ้ง-เหลือขว้าง หาทางขนไปแบ่งกันกิน ยามถังขยะบ้านเขาร้างเถอะ
การ "จัดระเบียบโลกใหม่" ในสงครามแบ่งขั้ว ด้วยอาวุธเศรษฐกิจการค้า-การเงินโลก ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไกลประเทศ ไทยเรา ถึงปลอดภัย ใช่ว่าจะหนีเจ็บพ้น ในฐานะ "บิดาแห่งการล้มละลาย" เมื่อปี ๔๐
ไพ่ตานี้ ต้องไม่แพ้เขานะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |