เปิดคำฟ้องคดีกบฏ-เหตุ 'สุเทพ-ชุมพล' โดนพ่วงก่อการร้าย!


เพิ่มเพื่อน    

24 ม.ค. 61 -  ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อายุ 69 ปี อดีตเลขาธิการ กปปส., นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อายุ 57 ปี แกนนำ กปปส.อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อดีต ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์, นายชุมพล จุลใส อายุ 48 ปี แกนนำ กปปส.แยกราชประสงค์และอดีต ส.ส.ชุมพร ประชาธิปัตย์, นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อายุ 50 ปี แกนนำ กปปส.แยกราชประสงค์และอดีต ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์, นายอิสสระ สมชัย อายุ 72 ปี แกนนำ กปปส.ห้าแยกลาดพร้าวและอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์, นายวิทยา แก้วภราดัย อายุ 63 ปี แกนนำ กปปปส.ลุมพินี และอดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์, นายถาวร เสนเนียม อายุ 71 ปี แกนนำ กปปส.อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและ อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อายุ 52 ปี แกนนำ กปปส.แยกอโศกและอดีต ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และ นายเอกณัฏ พร้อมพันธุ์ อายุ 32 ปี อดีตโฆษก กปปส. และอดีต ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยที่ 1-9 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ, ก่อการร้าย, ยุยงให้หยุดงานฯ , กระทำให้ปรากฏด้วยวาจาหรือวิธีการอื่นใดฯ ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในราชอาณาจักรฯ , อั้งยี่ , ซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ, บุกรุกในเวลากลางคืนฯ และร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้งฯ รวม 9 ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, 116, 117, 135/1, 209, 210, 215, 216, 362, 364, 365, พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 มาตรา 76, 152 ประกอบมาตรา 83, 91

คำฟ้องอัยการ 17 หน้า บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 พ.ย. 2556 ถึง 1 พ.ค. 2557 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน จำเลยทั้ง 9 ร่วมสมคบกันเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร โดยเข้าเป็นสมาชิก หัวหน้าผู้มีตำแหน่งสั่งการของคณะบุคคล ร่วมกันโดยแบ่งหน้าที่กันทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักรฐานเป็นกบฏ เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ ระหว่างที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองเคลื่อนไหวคัดค้านหลายกลุ่ม กระทั่งวันที่ 29 พ.ย. 2556 กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้จัดตั้งเป็นคณะบุคคลที่ปกปิดวิธีดำเนินการโดยใช้ชื่อว่า คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) มีนายสุเทพ จำเลยที่ 1 ประกาศตัวเป็นเลขาธิการฯ ส่วนจำเลยที่ 2-9 ได้ร่วมเป็นสมาชิกและกรรมการผู้มีหน้าที่สั่งการ โดยคณะบุคคลนั้นร่วมกันโดยมิชอบด้วยกฏหมายในการร่วมกันปลุกระดม ยุยง ชักชวนให้ประชาชนทั่วราชอาณาจักรเข้าร่วมการชุมนุมและร่วมกิจกรรมในการก่อความไม่สงบโดยมุ่งหมายที่จะขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้พ้นจากตำแหน่ง รวมทั้งคัดค้านและขัดขวางการเลือกตั้ง ส.ส. เพื่อไม่ให้มีนายกรัฐมนตรีและ ครม.ชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ โดยจำเลยทั้ง 9 และคณะบุคคลดังกล่าวได้ออกประกาศให้รัฐบาลหยุดปฏิบัติหน้าที่และให้ข้าราชการระดับสูงเข้ารายงานตัวต่อ กปปส. จากนั้น กปปส. จะออกคำสั่งแต่งตั้งคณะบุคคลเข้ามาใช้อำนาจบริหารประเทศแทน

ซึ่งการกระทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว จำเลยทั้ง 9 และพวกได้แบ่งหน้าที่กันทำคือ การปราศรัยชักชวนประชาชนให้เข้าร่วมหรือออกมาขับไล่รัฐบาล อีกส่วนหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองกำลังทั้งที่มีและไม่มีอาวุธบุกรุกเข้าไปยึดสถานที่ราชการและหน่วยงานต่างๆ โดยมีการใช้กำลังขัดขวางต่อสู้ทำร้ายร่างกาย และขู่ว่าจะใช้กำลังกระทำต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่รักษาอาคารสถานที่ราชการและประชาชน ขณะเดียวกันก็ได้มีการรวบรวมจัดหาชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งมาเป็นกองกำลังโดยเรียกว่านักรบศรีวิชัย, นักรบตะนาวศรี และกลุ่มกระเบนธง โดยเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2557 ได้มีการสะสมกำลังโดยประกาศรับสมัครชายฉกรรจ์ 500 คน เพื่อทำการไล่ล่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกฯ และรัฐมนตรีอื่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการกบฏ โดยจะบีบบังคับให้นายกฯ และรัฐมนตรีนั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่และให้พ้นจากตำแหน่ง

จากนั้นจะตั้งศาลประชาชนขึ้นพิจารณาพิพากษาลงโทษและริบทรัพย์ นอกจากนี้พวกจำเลยได้ยุยงชักชวนให้ธุรกิจเอกชน, ข้าราชการ, พนักงานรัฐวิสาหกิจ และประชาชนร่วมกันหยุดปฏิบัติงาน ปิดงาน ไม่ยอมค้าขาย ชะลอและงดการจ่ายภาษีให้รัฐบาลพร้อมกันให้บุกรุกเข้าไปยังสถานที่ราชการ สถานที่เอกชน รัฐวิสาหกิจ และศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งการกระทำนั้นได้เผยแพร่ให้ปรากฏแก่ประชาชนทั่วราชอาณาจักรผ่านการกล่าวปราศรัย ที่ถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์หลายแห่ง และจัดให้มีการชุมนุมใหญ่ของประชาชนที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินและบริเวณใกล้เคียง กระทั่งมีการขยายและยกระดับการชุมนุมด้วยการนำประชาชนเดินขบวน เคลื่อนย้ายด้วยยานพาหนะหลายชนิดไปปิดล้อม บุกรุกเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น รวมทั้งตัดระบบไฟฟ้าน้ำปะปาในทำเนียบรัฐบาล กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงพลังงาน ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเขตหลักสี่ ศูนย์เยาวชนไทย ญี่ปุ่น ดินแดง และรัฐวิสาหกิจรวมทั้งเอกชนที่สำคัญหลายแห่ง เช่น อาคารเอ็นเนอจีคอมเพล็กซ์ ถ.วิภาวดีรังสิต ซึ่งหลังจากบุกรุกเข้าไปในสถานที่ต่างๆหลายแห่งแล้วพวกจำเลยร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการใช้ก้อนหิน, ขวดแก้ว, ไม้ท่อน, หนังสติ๊ก, กระสุนหัวนอต, ระเบิดเพลิง, ประทัดยักษ์, ระเบิดปิงปอง, อาวุธปืนสั้น-ปืนยาวฯ มีดปลายแหลม เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งรักษาความสงบเรียบร้อยได้รับอันตรายและเสียชีวิตหลายราย

และตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค. – 2 มี.ค. 2557 จำเลยกับพวกยังได้ปิด กทม. หรือ Bangkok Shutdown รวม 7 จุด โดยตั้งเวทีปราศรัยปิดกั้นการจราจรสาธารณะประกอบด้วยเวทีแจ้งวัฒนะ, ห้าแยกลาดพร้าว, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, แยกปทุมวัน, แยกราชประสงค์, สวนลุมพินี และแยกอโศก โดยมีการนำแท่งปูน, ผนังคอนกรีต, รั้วลวดหนาม และยางรถยนต์วางเป็นเครื่องกีดขวาง แล้วในช่วงการประกาศการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 ก.พ. 2557 จำเลยกับพวกยังให้มีการชุมนุมปิดล้อมหน่วยรับสมัครและหน่วยเลือกตั้งใน กทม. และต่างจังหวัดหลายแห่งเพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. แล้ววันที่ 5 เม.ย. 2557 ยังได้ร่วมกันประกาศว่ากลุ่ม กปปส. จะเข้าใช้อำนาจอธิปไตย และประกาศตัวเป็นรัฏฐาธิปัตย์ที่จะออกคำสั่งแต่งตั้งนายกฯ และ ครม.

นอกจากนี้ระหว่างวันที่ 29-30 พ.ย. 2556 นายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. และนายชุมพล แกนนำ กปปส. จำเลยที่ 1 และ 3 ยังร่วมกันก่อการร้าย โดยทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์สาธารณะเช่น เครื่องควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าหลักและไฟฟ้าสำรองของ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท. รวมทั้งระบบอินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่ของประเทศไม่สามารถใช้งานได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง ทำให้เกิดความเสียหายนับพันล้านบาท เหตุเกิดในพื้นที่ กทม. และ จ.นนทบุรี, จ.เพชรบุรี, จ.พังงา, จ.ชุมพร, จ.นครศรีธรรมราช, จ.ยะลา หลายแห่งเกี่ยวพันกัน โดยจำเลยที่ 1-4 , จำเลยที่ 7-9 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2557, จำเลยที่ 5 เข้ามอบตัวที่ 28 พ.ค. 2557 และจำเลยที่ 6 เข้ามอบตัววันที่ 27 พ.ค. 2557 ชั้นสอบสวนจำเลยทั้ง 9 ให้การปฏิเสธ ซึ่งหากจำเลยยื่นขอปล่อยชั่วคราว อัยการก็ขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล โดยท้ายฟ้องอัยการโจทก์ยังขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งเก้าตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 ด้วย

ศาลได้ประทับรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.247/2561 และสอบคำให้การเบื้องต้นแล้ว จำเลยให้การปฏิเสธ โดยนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 19 มี.ค.นี้ เวลา 9.00 น. ขณะที่จำเลยทั้งเก้า ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ บจก.วิริยะประกันภัย เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดี โดยศาลกำหนดวงเงินประกันจำเลยรายละ 800,000 บาท

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"