“วิษณุ” แจงเช่าที่ศูนย์ราชการฯ รองรับคนโดน ม.44 เหตุวัดเบญฯ ขอคืนพื้นที่สำนักงาน ก.พ.  พร้อมเผยนายกฯ สั่งรวบรวมคำสั่ง-ประกาศ มาตรา 44 เป็นกฎหมายถาวร ให้เสร็จใน รบ.นี้ เพื่อแม้วจวกตั้งใจทิ้งปัญหาให้แก้ไขกันต่อใช่ไหม 

    เมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ  เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เช่าพื้นที่ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ เพื่อรองรับผู้ที่ถูกปรับย้ายจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ฝั่งตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล มีพื้นที่ไม่เพียงพอว่า ตนไม่ทราบเรื่องดังกล่าว และไม่รู้เรื่องนี้ แต่พื้นที่ของ ก.พ. ที่จริงแล้วไม่เต็ม ไม่ถึงขนาดแออัดยัดเยียด เขานั่งทำงานกันตรงไหนก็ได้ แต่เนื่องจากคนที่โดนมาตรา 44 ส่วนหนึ่งไปนั่งทำงานที่สำนักงาน ก.พ. แต่สำนักงาน ก.พ. จะใช้สถานที่เพื่อทำอย่างอื่น 
    นายวิษณุกล่าวว่า ฉะนั้นจึงไม่ใช่ว่าสถานที่ไม่เพียงพอหรือเต็ม แต่เพราะเขาต้องการนำพื้นที่ไปทำอย่างอื่น เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ซึ่งเป็นกรมตั้งใหม่ ยังไม่มีสถานที่ทำงาน ส่วนหนึ่งเขาจะไปอยู่กับกรมชลประทาน อีกส่วนหนึ่งอาจไปอยู่แถบชานเมือง ขณะเดียวกันยังมีปัญหาอีกว่าพื้นที่ของสำนักงาน ก.พ. เป็นที่ของวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ซึ่งกำลังจะเรียกคืนพื้นที่จากสำนักงาน ก.พ. และพิพิธภัณฑ์ต้านโกง ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงจำเป็นต้องขยับขยายหาพื้นที่ใหม่ที่อื่น ซึ่งในส่วนของพิพิธภัณฑ์ต้านโกงของ ป.ป.ช.นั้น หาพื้นที่ไม่ยาก แต่ถ้าไปอยู่ในพื้นที่ที่คนเขาไม่อยากดูก็ไม่มีประโยชน์ 
    “ในห้องที่สำนักงาน ก.พ.ห้องเดียวนั่งกัน 3-4 คน เวลานี้นั่งกันสอง และยังเหลืออีกหลายห้อง สทนช.เขาก็อยากได้ แต่วัดเบญฯ เขาก็จะเรียกพื้นที่คืน จึงเกิดไอเดียว่ามีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศ.) มีห้องประชุมใหญ่ดีกว่าห้องประชุม ครม. ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีสภาพัฒนาการเมือง คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) วันนี้เรากำลังจะยุบหน่วยงานเหล่านั้น ซึ่งคนแยกย้ายไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆ แล้ว จึงมีความคิดให้ทำเนียบฯ นำเขาเหล่านั้นไปนั่งอยู่ที่นั่น ผมเล็งไว้ให้สำนักนายกรัฐมนตรีใช้พื้นที่ดังกล่าว เพราะห้องประชุมจุได้ 100 คน ไม่ควรจะทุบทิ้ง” นายวิษณุกล่าว
    เมื่อถามว่า จะมีการเรียกคืนพื้นที่เมื่อใด นายวิษณุกล่าวว่า ขณะนี้กำลังเจรจากับวัดอยู่ ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีการขอเลื่อนมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ตนเป็นรองนายกรัฐมนตรีครั้งที่แล้ว เราอาจจะยืดเวลาอยู่ได้อีกสักระยะ 1-2 ปี แต่คงไม่มีใครกล้าลงทุน ดัดแปลง หรือก่อสร้างอะไร ส่วนวัดจะใช่พื้นที่ดังกล่าวไปทำอะไรนั้น ตนไม่ทราบ เป็นเรื่องของวัด
    นายวิษณุยังกล่าวถึงการรวบรวมประกาศและคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ตามมาตรา 44 ทั้งหมดว่า ขณะนี้กำลังไล่ทำอยู่ ตนได้ให้เกณฑ์แก่เจ้าหน้าที่เป็นคนทำ เมื่อถามว่าจะมีการควบรวมหรือจะมีการยกเลิกหรือไม่นั้น นายวิษณุ บอกว่า มีทุกรูปแบบ นายกฯ ได้ปรารภในที่ประชุมคสช.เมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่าให้เตรียมเรื่องนี้ไว้ และยังบอกอีกว่าบางเรื่องให้เข้าสู่ระบบ ทำให้เป็นกฎหมายถาวร อย่างไรก็ตาม นายกฯ ยังไม่ได้ขีดเส้นว่าให้เหลือประกาศและคำสั่งหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ไว้เท่าใด เพราะนายกฯ ไม่รู้ เจ้าหน้าที่ต้องทำขึ้นไปเสนอ
    “มาตรา 44 เหลือเท่าที่จำเป็น เมื่อเข้าสู่ระบอบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยปกติ อะไรที่เลิกได้ก่อนเราก็เลิก อะไรที่ควบรวมให้เหลือน้อยลงก็จะทำ หรืออะไรที่ทำแล้วหมดอายุไปแล้วก็ไม่ต้องไปยุ่ง ให้เป็นคำสั่งอยู่อย่างนั้น แต่ไม่นำกลับมาใช้แล้ว เช่น การแต่งตั้งโยกย้าย ยืนยันว่าต้องทำให้เสร็จก่อนรัฐบาลนี้จบ เพราะถ้ารัฐบาลจบไปแล้ว จะกลับมาทำไม่ได้ และผมก็ยังไม่ทราบว่าเหลืออีกเยอะหรือไม่ เพราะเห็นว่าทุกวันนี้ก็ยังออกอยู่เลย” นายวิษณุกล่าว
          ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ข้อความถึงการรวบรวมมาตรา 44 เป็นกฎหมายว่า “ตั้งใจทิ้งปัญหาให้แก้ไขกันต่อใช่ไหม????”
      นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สาเหตุที่ข้าราชการเกรง ม.44 เพราะเป็นอำนาจนอกระบบ ตรวจสอบไม่ได้ และไม่น่าเชื่อว่าจะมีข้าราชการถูก ม.44 ไปเข้ากรุอยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรีจนที่นั่งไม่พอ จะต้องไปเช่าตึกที่ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ ไม่เหมือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพียงย้ายเลขาธิการ สมช.คนเดียว เพื่อทำนโยบายด้านความมั่นคงให้เป็นเอกภาพในฐานะที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ก็เป็นเหตุให้ถูกถอดถอนออกจาก ตำแหน่ง ผิดจากสภาพการณ์ในปัจจุบันมาก ที่หลายคนพ้นพงหนามเมื่อเกษียณไปแล้ว หรือผู้บริหารท้องถิ่นที่ถูกพักหน้าที่เป็นปีๆ บ้าง เลิกพัก กลับไปทำหน้าที่บ้าง หากฎเกณฑ์อธิบายสังคมไม่ได้.