พอมาเป็นนักแสดงอิสระกระแสของหนุ่ม ไนกี้-นิธิดล ป้อมสุวรรณ ก็ดูจะซาลงจนล่าสุดมีข่าวว่าเจ้าตัวอยากกลับไปซบอกบ้านเก่าอย่าง ช่องวัน ของคุณบอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ อีกครั้ง งานนี้เมื่อเจอตัวหนุ่มไนกี้ นิธิดล เจ้าตัวก็ยอมรับว่าอยากกลับไปร่วมงานกับค่ายเก่าจริง และยังมีความในใจที่ยังไม่มีโอกาสได้พูดกับทางผู้ใหญ่
"พอดีเพิ่งได้ไปโปรโมทหนังที่ค่าย และพี่ๆทุกคนก็ได้เข้ามาคุย เราก็รู้สึกดีใจ รู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆ เราก็คิดถึงนายอยู่แล้วครับ เพราะพี่บอย พี่ป้อน ผู้ใหญ่ทุกคนให้โอกาสเรา เหมือนเราได้กลับไปที่บ้านเรา และทุกคนทักทายอย่างดี เราก็รู้สึกตื่นตัน
ไม่มีละครกับพี่บอยน่าจะเกือบปีแล้วมั้งครับ คนมองว่าพอเราออกไปเป็นนักแสดงอิสระแล้วไม่เปรี้ยง ก็อยากจะซมซามกลับมาที่เดิม ก็แล้วแต่คนมองครับ แต่จริงๆที่ผมออกมาทำงาน ผมก็ทำงานตลอด 7 วันเลย เรามองว่าถ้านายมีเรื่องไหนที่มันตรงคาแรคเตอร์เรา ผมก็พร้อมที่จะกลับไปรับใช้นายอยู่แล้ว แต่เราออกมามันก็แล้วแต่คนที่มองนะครับ มันเหมือนเราได้ออกมาหาประสบการณ์ใหม่ๆ เราก็มีงานนู้นนี่นั่น ได้เห็นในงานที่ไม่เคยทำ
ดูไม่ค่อยเปรี้ยงเหมือนอยู่ช่องวันหรือเปล่า สำหรับผมมันมาเรื่อยๆอยู่แล้วครับ ไม่เคยที่จะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครว่าจะต้องดังแค่ไหน เราก็มองว่าเรามาเรื่อยๆของเรา มันเหมือนกราฟ ผมและพ่อแม่ที่อยู่ข้างเรามาตลอดจะมองว่าเรามาแบบนี้ เราไม่ได้มาขึ้นสุดหรือลงสุด เราจะค่อยๆไป ผมรู้สึกว่าเราก็ภูมิใจสำหรับตัวเราเอง เพราะเราไม่ได้เป็นคนที่หน้าตาดี แต่เราเป็นคนที่ตั้งใจกับการทำงานเฉยๆ
จริงๆ ถ้าผู้ใหญ่เรียกตัวผมก็จะกลับไปทำให้อย่างเต็มใจอยู่แล้วครับ ผมต้องขอบคุณพี่บอย พี่ป้อน ผู้ใหญ่ทุกๆ คน ผมจะบอกเสมอว่าเรารู้ตัวเองว่าเราเกิดจากอะไร เรามาจากไหน เรารู้สึกว่านายเป็นคนดีครับ รู้สึกคิดผิดไหม ไม่อยากจะพูดว่าถูกหรือผิดนะครับ แต่มันเป็นช่วงของวุฒิภาวะมากกว่าในตอนนั้น และเราไม่ได้ตัดสินใจคนเดียวครับ ยังมีหลายอย่าง หลายส่วน ที่มีคนตัดสินใจแทนเราด้วย เราอยู่ในขั้นตอนที่บางทีก็พูดไม่ออก เราไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆครับ
(บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ)
จะว่าแปลกไหม ไม่รู้นะ ผมฝันเห็นพี่บอยบ่อยมาก อันนี้เรื่องจริง ผมอาจจะยังมีความฝังใจ และผมก็รู้สึกว่าผมรับรู้ถึงสิ่งดีๆที่ผมได้รับเสมอ โอกาสดีๆที่เข้ามา ผมเข้ามาเป็นนักแสดง ผมก็ได้งานตลอด ไม่เคยมีวันว่างเลย เราก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่ามันออกมาเป็นแบบนี้แล้ว มันจะถูกหรือผิด ผมไม่อยากจะโทษใคร แต่ผมมองว่าถ้าวันหนึ่งเรามีโอกาสที่จะแก้ไขได้หรือมีโอกาสที่จะพูด ผมก็พร้อมที่จะพูด
ยังไม่มีโอกาสเล่าให้ใครฟังเลย เราเก็บไว้คนเดียวตลอด ช่วงนั้นมันจุกครับ ถ้าเราจะพูดอะไรออกไปแล้วรู้ตัวเองว่าจะร้องไห้ มันพูดไม่ออก เหมือนมันจุกมาก มันบีบ มันอัดแน่น จะพูดก็พูดไม่ได้อยู่ดีเราเลยรู้สึกว่าค่อยรอวันหนึ่งแล้วกันที่เราพร้อมจริงๆ แล้วเราจะพูดมันออกไป
ตอนนั้นเราขอผู้ใหญ่ออกมาเพื่อทำงานบางอย่างเท่านั้นเอง เพราะมีภาระที่ต้องเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่แต่มันเหตุปัจจัยบางเหตุที่ทำให้มันเลยเถิด ทำให้มันพลิกโดยที่เราไม่ได้ไปพูดตรงนั้น ผมก็ไม่อยากที่จะโทษใคร จะบอกยังไงดีล่ะ บางทีผมแทบจะไม่ได้พูดอะไรเท่าไหร่เลยกับการที่เข้าไปคุยวันนั้น และมันก็เหมือนกับยังไม่ได้เตรียมพร้อมอะไร อยู่ๆก็พูดออกไปและมันก็จบไปแล้วโดยที่เราไม่ได้พูด มันก็เลยเป็นความค้างคาใจที่เราจุกจนพูดไม่ออก"
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |