เวทีเสวนาจี้รัฐบาลไทย ลงนามสัตยาบันต่อต้านบังคับให้สูญหาย


เพิ่มเพื่อน    

30 ส.ค.61 - ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีงานเสวนาวิชาการ เนื่องในโอกาส วันสากลแห่งการต่อต้านการบังคับให้สูญหาย จัดโดยเครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ(Police watch) ร่วมกับ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม มีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายสุรพงษ์ กองจันทึก ทนายความนักสิทธิมนุษยชน นส.สัณหวรรณ ศรีสด ที่ปรึกษากฎหมายคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล(ICJ) พ.ต.อ.วิรุฒม์ ศิริสวัสดิบุตร ผู้ขียนหนังสือ วิกฤตตำรวจและการสอบสวน จุดดับกระบวนการยุติธรรม นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น(คปต.) นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา2535

พ.ต.อ.วิรุฒม์กล่าวว่า การบังคับสูญหาย คำนี้อยากให้เลิกใช้ มันไม่มี ในข้อเท็จจริงคือ การลักพาตัวไปฆ่าแล้วทำลายศพ หรือ อุ้มฆ่า โดยประชาชนทั่วไปทำไม่ได้ ต้องมีอำนาจรัฐ เข้าไปเกี่ยวข้อง ควบคุมอำนาจสอบสวน ถ้าไม่มีอำนาจจากตรงนี้ คงทำไม่ได้ เพราะจะต้องไปเกี่ยวกับการทำลายหลักฐาน อาชญากรรมร้อยละ 99 จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ หากมีการสอบสวนอย่างจริงจัง จะจับคนร้ายได้ แต่ปัญหาที่ดำมืดคือ มีการส่งสัญญาณจากระดับสูง กลุ่มผู้ปฏิบัติกระทำโดยพลการ เลยต้องมีการปกป้องกัน สำหรับร่างกฎหมายดังกล่าว มีความก้าวหน้าสูงมาก ประเด็นสำคัญคือ ผู้ที่ควบคุมตัวหากคุมตัวแล้วหายไป ต้องมีการพิสูจน์กันต่อไป ซึ่งตามหลักของตำรวจ ถ้าไม่มีศพ ไม่สามารถเริ่มขบวนการทางคดีได้ แต่ระบุให้เป็น บุคคลสูญหาย ทั้งนี้คนสูญหาย ส่วนใหญ่ มีสัญญาณมาจากการฆาตกรรม ขอย้ำว่า คนทั่วไปทำไม่ได้ ตามพรบ.ดังกล่าวที่ระบุว่า หากผู้บังคับบัญชามีส่วนรู้หรือควรรู้ ต้องได้รับโทษกึ่งหนึ่ง แต่ได้ถูกตัดใจความดังกล่าวออกไป แม้ถูกตัดออก ถือว่ามีความก้าวหน้าระดับหนึ่ง โดยร่างนี้วิปสนช.ส่งมาทบทวน ไปอยู่ที่กระทรวงยุติธรรม เพื่อเตรียมส่งไปยังครม.

สำหรับความผิดฐานสมคบ ฐานความผิดคล้ายกับพรบ.ปราบปรามยาเสพติด หากใครสมคบ ร่วมกระทำต้องได้รับโทษหนึ่งในสาม ที่พูดวันนี้คือ กฎหมายนี้จะผ่านการบังคับใช้ แม้ดูแล้วรัฐบาลไม่ขัดขวาง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ออกมาบังคับใช้ เหมือนกับกฎหมายหลายฉบับ แม้ตนเป็นอดีตตำรวจ มีเสียงท้วงติงทำไมต้องพูดเช่นนี้ เป็นเพราะอยากเห็นทุกอย่างถูกบังคับใช้ไปตามกระบวนการกฎหมาย

นายสุรพงษ์กล่าวว่า การบังคับให้สูญหายมีลักษณะพิเศษในเรื่องการใช้วิธีการหรือเรียกว่าเป็นการอุ้ม โดยผู้ถูกอุ้มไม่ยินยอมหรือสมัครใจ มีการดำเนินการเป็นขบวนบวนการ บางกรณีมีรถนำขบวน ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบ มีคนสั่งการที่เป็นผู้มีอำนาจ คนสั่งการมีเจตนากำจัดผู้ที่ออกมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชนเพื่อให้บุคคลอื่นไม่กล้าออกมาเรียกร้องในลักษณะเดียวกัน ซึ่งการอุ้มหายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและละเมิดความเป็นมนุษย์ที่ร้ายแรงที่สุด จึงควรเป็นคดีความที่ไม่มีอายุความเพราะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยโดยกาลเวลาได้ ทั้งนี้กระทรวงยุติธรรมได้มีการยกร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย ซึ่งผ่านการพิจารณาของ ครม.แล้ว แต่ในชั้น สนช.ได้ส่งกลับให้หน่วยงานพิจารณาเพิ่มเติม จึงต้องเร่งผลักดันร่างกฎหมายนี้ให้มีผลบังคับใช้เป็นรูปธรรม มีข้อเรียกร้องระหว่างเครือข่ายโปลิศวอ็ต และเครือข่ายปฏิรูปวัฒนธรรม 1.ต้องไม่มีการบังคับให้คนสูญหายอีกในประเทศไทย 2.ติดตามหาผู้กระทำผิดมาลงโทษในทุกกรณี 3.ญาติ ผู้เสียหาย ต้องได้รับการคุ้มครอง ชดเชย เยียวยา 4.ออกพระราชบัญญัติป้องกันการทรมาน 5.ประเทศไทยต้องให้สัตยาบรรณต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศต่อต้านการบังคับให้สูญหาย

นส.สัณหววรณ กล่าวว่า แม้เราเคยลงนามต่อต้านการบังคับให้สูญหาย แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ จนกว่าเราจะไปให้สัตยาบันต่อเลขาธิการสหประชาชาติ โดยรัฐบาลอ้างว่า เหตุที่ยังไม่ไปลงสัตยาบัน เนื่องจากต้องรอกฎหมายภายในประเทศก่อน โดยร่างฉบับนี้มีการรับฟังความคิดเห็น ทางกลุ่มเคยทำข้อเสนอแนะ ประเด็นการพูดถึงนิยามการบังคับให้สูญหายคือต้องมีสององค์ประกอบที่ทำให้การบังคับให้สูญหาย คือ พาตัวบุคคลไป หรือปฏิเสธว่าไม่ทราบ ซึ่งความเป็นจริงไม่น่าเกิดขึ้นได้ ต่างจากต่างประเทศที่ไม่ได้อ้างถึงเหตุผลดังกล่าว ขณะที่รูปแบบการสืบสวน สอบสวน ตามพรบ.มีการระบุ เมื่อสูญหาย ต้องทำการสืบสวนจนกว่าจะพบ แต่ตามหลักแล้ว อาจจะไม่พบร่างหรือทราบได้เลยว่า คนๆนั้นจะลงเอยอย่างไร ตามหลักแม้ไม่พบร่าง ควรทำการสืบสวนสอบสวน เพื่อเอาผิดกับคนทำผิดให้ได้ ในส่วนของการคุ้มครองพยานต่อผู้เสียหาย การเข้าถึงการให้ความช่วยเหลือ ที่ยังกังวลว่า มีการปรับปรุงหรือไม่ รวมทั้งการบังคับใช้ มีประสิทธิภาพเพียงใด

ขณะที่ นายอดุลย์ กล่าวว่า เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ2535 เกิดการสูญหายจำนวนมาก ตัวเลขที่กระทรวงมหาดไทยสรุปออกมากับข้อเท็จจริงนั้นไม่ตรงกัน มีข่าวออกมาทั้งถูกนำไปทิ้งตามแนวชายแดน ถูกใส่ตู้คอนเทนเนอร์ไปทิ้งในทะเล สูญหายในค่ายทหารบางแห่ง แม้แต่ทหารที่ร่วมขุดหลุมฝังประชาชนนั้น ทนไม่ได้ มีการสารภาพออกมา โดยทางคณะกรรมการญาติวีรชน ยังสืบค้นหาต่อไป จากเหตุการณ์ทนายสมชาย นีละไพจิต ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน สูญหายไป ทำให้เกิดการตื่นตัว เริ่มความเลวร้ายจากตำรวจ กระบวนการยุติธรรม ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด

"ผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ คนที่สูญหายที่เป็นเหยื่อ ไม่เชื่อว่าผู้บังคับบัญชาจะไม่รู้ แต่ผลจากอำนาจทำให้เกิดการบิดเบือน จึงต้องการปฏิรูปตำรวจ ถ้าความยุติธรรมเบื้องต้นไม่เกิด จะนำพาไปสู่เรื่องการติดตามคนสูญหายได้อย่างไร แม้ในวันนี้ การอุ้มหายจะลดน้อยลง อาจเป็นเพราะผู้มีอำนาจกลัวติดคุกในตอนบั้นปลายชีวิต นอกจากนี้ยังได้ยินมาว่า กระบวนการคัดเลือกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชุดใหม่ โดยสนช.นั้น ตัวแทนภาคประชาชนที่สนับสนุนการปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม อาจจะไม่ได้รับการโหวตให้เป็นกรรมการสิทธิฯซึ่งประชาชนคงไม่ยอมแน่"นายอดุลย์ กล่าว

นายวีระกล่าวว่า กรณีนายกมล เหล่าโสภาพันธ์ ที่หายไปประมาณเดือนก.พ.2551 เชื่อได้ว่า สูญหายจากการกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐ เนื่องจาก นายกมลแจ้งความให้จับเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เพราะไปพบการเกี่ยวข้องการทุจริตของเจ้าหน้าที่ อีกทั้งหลักฐานสุดท้าย ก่อนการหายตัว พบที่สถานีตำรวจบ้านไผ่ ลูกชายได้ไปตามให้บิดาให้กลับบ้านไป ซึ่งต่อมา ตำรวจคนหนึ่งที่ทราบเรื่อง โทรศัพท์มาหาตน เนื่องจากเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนอยู่โรงเรียนสวนกุหลาบ โดยตนได้ไปตามเรื่อง ติดตามทุกวิถีทาง ได้ข้อมูลจากนายตำรวจ มาให้ข้อมูลคือ นายกมลดิ้น เพราะถูกล็อกคอแล้วคอหัก เขาเลยเอาศพไปฝังในในไร่อ้อยแห่งหนึ่ง จ.อุดรธานี ในทางกระบวนการตำรวจ หากไม่พบศพ ไม่สามารถดำเนินการทางคดีต่อไปได้ ตรงนี้ถือว่าเป็นปัญหา ไม่รู้ว่า ไม่อยากมีการแก้ไข ไม่อยากให้มีการตรวจสอบคนหาย เพราะหวังเอาไว้ใช้จัดการกับคนเห็นต่าง ขัดขวางผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจ เจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ย้อนไปดู ผู้ที่ขัดขวางอาจพบชะตากรรมเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็น นายทนง โพธิ์อ่าน รวมทั้งกรณีเพชรซาอุดิอาระเบีย แม้ทางการซาอุ ส่งคนมาร่วมติดตามคดี ปรากฎว่าถูกยิงตาย จนถึงวันนี้คนร้ายตัวจริง ยังจับไม่ได้ ที่ต้องพูดคือ ตนเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในข่าย อาจทำให้เกิดสูญหายไปก็ได้ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ที่เป็นเพื่อนตน ก็ไปแล้ว คนที่ติดคุกอยู่ ไม่รู้ว่าใช่ตัวจริงหรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเราไม่ได้ตระหนัก

"คนที่ถูกอุ้มไปฆ่า ถูกทำลายศพ ทำลายหลักฐาน ลำพังประชาชนทำไม่ได้ หากไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐ อำนาจรัฐ เข้ามาทำเอง ตำรวจถ้าจะฆ่าเรา เขารู้วิธี เพราะเป็นพนักงานสอบสวน เขาย่อมรู้ วิธีทำลายพยานหลักฐานเป็นอย่างไร แล้วอำนาจสืบสวน สอบสวน สั่งฟ้องหรือไม่ ยังอยู่ที่ตำรวจ พอเห็นภาพหรือไม่ ทำไม หลายคดีถึงยังไม่ไปไหน สังคมไทยควรให้ความสำคัญ แต่ก็ไม่รู้ว่า ผู้มีอำนาจรัฐอยากจะให้ความสำคัญหรือไม่ อย่าไปหวังกระบวนการ นายกมลเคยขอการคุ้มครองพยานจากตำรวจ แต่ไม่ได้รับ เพราะไปตรวจสอบตำรวจ คดีนี้หลังจากสูญหาย ญาติพยายามต่อสู้ เรียกร้องยังหน่วยงานต่างๆ เป็นคดีพิเศษในดีเอสไอ น้องชายเคยนำพยานหลักฐานไปให้ แต่ต่อมา ตู้เก็บเอกสารสำคัญในดีเอสไอ ยังถูกงัดออกมา ในที่สุดดีเอสไอยุติ แต่ญาติไปร้องต่ออัยการสูงสุด จนถึงวันนี้ ดีเอสไอยังเฉย"

นายวีระกล่าวว่า คงคาดหวังอะไรไม่ได้กับเผด็จการ 4ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ปฏิรูปอะไรเลย ยังไม่มีอะไรนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง นำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ตอนนี้กำลังเคร่งเครียดกับการดูด เพื่อให้กลับมานั่งในตำแหน่งต่อไป หากหวังให้มาแก้ไขในเรื่องที่เราป้องกันไม่ให้เกิดการสูญหาย คงหวังอะไรไม่ได้ เรื่องเหล่านี้ ต้องพูดบ่อยๆทุกรัฐบาล จนกว่ามีการแก้ไข ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ทำให้ดีขึ้น จนการบังคับสูญหาย ลดน้อยลงไปจากสังคมไทย

นางอังคณา นีละไพจิต อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ในวันครบรอบวันสากลแห่งการต่อต้านการบังคับให้สูญหาย การบังคับสูญหายไม่ได้หมายถึง การฆาตกรรมอย่างเดียว ยังหมายถึง การจับกุมคุมขัง โดยสภาวะนี้จะพ้นได้ ต้องพบตัว ที่ผ่านมากลไกรัฐอ่อนแอ ไม่มีประสิทธิภาพ หลายครั้งกระบวนการยุติธรรม ไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุล เป็นที่พึ่งได้ ปัจจุบันการบังคับสูญหายมีความซับซ้อน ในบรรยากาศไม่เป็นประชาธิปไตย เข้าหน้าที่รัฐบางคนยังเชื่อว่า ยังจำเป็นต้องบังคับให้สูญหายมีอยู่ต่อไป

จากเหตุการณ์ การทำสงครามยาเสพติด การปราบปรามผู้ไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ ที่กล่าวมามีเพียงคดีทนายสมชาย นีละไพจิต ที่อยู่ในกระบวนการศาล พยานสำคัญปากหนึ่ง หายตัวไป ที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ ไม่เต็มใจในการทำคดีนี้ สิ่งที่เป็นความเลวร้ายคือ การสร้างความหวาดกลัวคนในสังคม สร้างความคลุมเครือระหว่างยังมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต และเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันกับเรื่องครอบครัว หลายคนในครอบครัว ไม่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี สิ่งที่เรายึดมั่นคือ นำคนผิดมาลงโทษ ผลักดันให้เปิดเผยความจริง ชดใช้เยียวยาคนในครอบครัว สิ่งเหล่านี้รัฐไม่ได้ริเริ่ม แต่เริ่มจากเหยื่อ เพื่อนฝูง ทำให้สหประชาชาติร่างอนุสัญญาบังคับให้สูญหาย ในประเทศไทย เคยแสดงเจตจำนง ลงนามอนุสัญญาเมื่อ9ม.ค.2555 รัฐบาลยุคนั้น เยียวยาครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สามจังหวัดใต้ แต่ยังมีอีกหลายครอบครัว ที่ไม่ได้รับการเยียวยา 

น่าเสียดายสนช.ยังไม่รับร่างในเวลาต่อมา ให้กระทรวงยุติธรรมนำกลับไปปรับปรุงใหม่ คิดว่าสนช.พิจารณาด้วยความหวาดกลัวว่าจะกระทบต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่เป็นการช่วยให้เจ้าหน้าที่ระมัดระวัง ไม่ให้กระทำการกระทบสิทธิเสรีภาพประชาชน เป็นการปูทางระบบนิติธรรมในประเทศให้เกิดได้จริง รู้สึกเสียใจ ผิดหวัง ที่ร่างกระทรวงยุติธรรมนำมาปรับปรุง ร่างในส่วนสำคัญหายไป เช่น นิยามผู้บังคับบัญชาหมายถึงใคร นอกจากนี้ยังมีข้อบกพร่องคือ ครอบครัว ญาติ ถูกกีดกันจากการ่างกฎหมาย ขอเรียกร้องพรบ.ฉบับนี้ ให้มีการเปิดฟังความเห็นประชาชนอย่างกว้างขวาง ให้มีการพิจารณาในระบบรัฐสภาฯที่มาจากการเลือกตั้ง เชื่อว่ามีประโยชน์มากกว่า

"เหยื่อทุกคนที่ยังอยู่ อยู่อย่างหวาดกลัว ถูกลดทอนศักดิ์ศรีมนุษย์ แต่ผู้กระทำความผิดกลับมีที่ยืนในสังคม ขอเรียกร้องรัฐบาลประยุทธ์ แสดงความจริงใจ ผู้ถูกบังคับให้สูญหายทุกคน แม้รัฐไม่สามารถคืนชีวิต แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธในการคืนความยุติธรรมให้ครอบครัว การเปิดเผยความจริง ความยุติธรรม ต้องการเพียงแค่ความจริงใจจากรัฐ การชดใช้เป็นเงิน ไม่ได้คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การบังคับสูญหายถือเป็นอาชญากรรมต่อมวลมนุษย์ชาติ การสร้างกลไกลตรวจสอบ มีความสำคัญ เสียงของประชาชนต้องถูกรับฟัง รัฐต้องไม่อดทนต่อเจ้าหน้าที่กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน"นางอังคณา กล่าว   


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"