เรียกว่ามีความคืบหน้าเป็นระยะในการจัดงานเลี้ยงผู้ช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมีแม่สาย ภายใต้ชื่องาน “รวมใจเป็นหนึ่งเดียว-United as One” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 6 กันยายน 2561 เวลา 18.00-21.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต โดย “สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แจงว่า มีผู้ลงทะเบียนมาร่วมงาน 12,000 คน และตอบรับแล้ว 6,100 คน ส่วน แขกต่างประเทศได้ตอบรับเข้าร่วมงานแล้ว 96 คน จาก 210 คน และคาดว่าจะตอบรับกลับมาอย่างต่อเนื่อง ...๐ หันมาเรื่องโรงเรื่องศาลกันบ้าง เพราะดูเหมือนเป็นช่วงวันแห่งความสุขของบรรดาจำเลย หรือผู้ถูกร้อง เริ่มที่กรณี “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รมว.การต่างประเทศ ที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ได้ชี้ว่ายังไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะไม่มีมูลเหตุก่อความเสียหายต่อการบริหารราชการตามที่ “กกต.” ชงเรื่องให้วินิจฉัย แต่ก็ไม่ใช่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะยังต้องมีนัดสอบพยานเพิ่ม 3 ปากในวันที่ 25 ก.ย.นี้ต่อไป แต่ก็ เรียกว่า “รอด” ไปได้สักระยะ ...๐ ส่วนอีกคนหนึ่งคือ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ที่รอดสันดอนแรกว่าด้วยคดีฮุบ “ทีพีไอ” ไปแล้ว หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอ่านคำพิพากษาคดีลับหลัง โดยมีมติเสียงส่วนใหญ่ยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีหลักฐานชี้ชัด และประเมินว่า ป.ป.ช.ในฐานะโจทก์ฟ้องไกลเกินกว่าเหตุ!!! ส่วนประเด็นเด็ดที่หวังฝัง “สัมภเวสี” ที่ว่า “My boss want it” ก็ถูกตีตกแบบไปกันไม่ถูกทีเดียว เมื่อศาลมองว่าเป็นเพียงพยานบอกเล่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่มีเอกสารประกอบ ...๐ เชื่อได้ว่างานนี้ “ทักษิณ” และบรรดาสาวกคงได้เฮโลชื่นชม “ศาล” อีกระลอกว่า “ยุติธรรม” แต่ต้องไม่ลืมว่า “คดีปักหลัง” นายเหลี่ยมนั้นยังมีอีกพะเรอเกวียน ไม่ว่าจะเป็นคดีแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต, คดีทุจริตปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กลุ่มกฤษดามหานคร, คดีให้ธนาคารเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ให้รัฐบาลพม่า และคดีหวยบนดิน ซึ่งหากหนึ่งในคดีเหล่านี้มีการตัดสินว่า “Boss” ผิดขึ้นเมื่อใด ก็จะมีเสียงระงมว่าด้วย 2 มาตรฐาน และกระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้งแน่นอน เชื่อหัวไอ้เรืองได้เลย ...๐ กลับมาเรื่อง “จราจร” กันบ้าง ที่มีทั้งกรณีการปรับเพิ่มค่าปรับและเรื่องจราจรติดขัด ซึ่งเรื่อง การขึ้นค่าปรับคงบอกได้คำเดียวว่า “ช้อยเก็บฉาก” แน่ๆ หลัง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯ และหัวหน้า คสช.ออกมาแสดงความเห็นเสียงดังฟังชัดว่าไม่เห็นด้วย ส่วนกรณีการแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดในการสร้างรถไฟฟ้า 6 สายนั้น ก็มีการออกไอเดียมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด “พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์” โฆษกกระทรวงกลาโหม ก็แจงว่า “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ให้ใช้พื้นที่ทหารเป็นเส้นทางจราจรชั่วคราวในชั่วโมงเร่งด่วน ...๐ ฟังแล้ว ใครอาจหลงปลื้มกับ “บิ๊กป้อม” เหมือนเพจเฟซบุ๊ก "มุมน่ารักของลุงป้อม" นั่นแล แต่ความเป็นจริงนั้นมันสวนทาง โดยเฉพาะในการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง, สายสีชมพู และสายสีส้ม หรือเส้นในพื้นที่ฝั่งตะวันออกนั่นเอง เพราะ ถนนลาดพร้าว, รามคำแหง หรือสุขาภิบาล 3 และพัฒนาการนั้น ไม่มีค่ายหรือพื้นที่ทหารแม้แต่กระผีกเดียว ...๐ วิธีการบรรเทาการจราจรที่ติดขัดนั้น หากไม่กล้าใช้มาตรา 44 ในการจำกัดสิทธิ์ การใช้รถแล้ว ก็จำเป็นต้องเพิ่มรถขนส่งสาธารณะให้มากขึ้น แต่ที่ไหนได้กลับไม่มีการเอ่ยอ้างถึงเรื่องดังกล่าวแต่ประการใด ซ้ำร้าย “รถเมล์” ที่วิ่งอยู่ในเส้นทางก่อสร้างรถไฟฟ้านั้นกลับเป็นรถร้อนอีกต่างหาก เรียกว่า ชาวบ้านชาวช่องที่ต้องใช้บริการและต้องทนอีก 3-4 ปีตามที่ “ลุงตู่” บอกนั้น ต้องมาเสียสุขภาพจากฝุ่นละออง การก่อสร้างเข้าไปอีก นอกเหนือจากเสียสุขภาพจิตไปแล้ว งานนี้ต้องถามไปที่กระทรวงคมนาคมและ ขสมก. จะมีทีท่าขยับอย่างไร ...๐ แล้วยังมีคำถามที่ชาวบ้านร้านถิ่นยังสงสัยมาอีกในกรณี ภาษีลาภลอยที่ “กระทรวงการคลัง” หวังใช้อย่างมาก ว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจในช่วงการก่อสร้างรถไฟฟ้ายังไม่พอชดเชย “กำไร” ที่อาจจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นในเส้นทางรถไฟฟ้าหรืออย่างไร แล้วหากเกิดความสูญเสียทางอ้อมเกิดขึ้นจะเรียกร้องจากกฎหมายลาภลอยได้หรือไม่ เพราะเหรียญ มันมีสองด้านนะจ๊ะทั่นรัฐมนตรีอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ในเมื่อเก็บภาษีจากอสังหาริมทรัพย์ที่เกิน 50 ล้านบาทขึ้นไป ก็ควรจะนำเงินเหล่านี้มาชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบที่ตัวเล็กตัวน้อยหรือไม่อย่างไร ...๐ ทิ้งท้ายด้วยข่าว พ.ร.บ.ยาฉบับใหม่ ซึ่งตอนนี้กำลัง “มาคุ” ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบทสรุปสุดท้ายฟันธงไว้ตรงนี้เลยว่า ต่อไปเราเข้าร้านสะดวกซื้อเราจะได้ยินเสียงพนักงานที่จะพูดว่า “รับยาเพิ่มไหมคะ แทนที่รับขนมจีบซาลาเปา” แน่นอน เพราะช่วงใกล้เลือกตั้งกระสุนดินดำนั้นสำคัญอย่างยิ่งแล ...๐