หวิดวงแตก "ครอบครัวน้องเมย" ถอนตัวกลับบ้านหลังกองทัพบ้าจี้ห้ามญาติเข้าฟังผลสอบการตายของนักเรียนเตรียมทหาร จนต้องโทร.ตามยอมให้เข้าฟังทั้งหมด แต่สุดท้ายก็จบไม่สวย! เมื่อบิดาผู้เสียชีวิตยังติดใจหลายประเด็น ลั่นจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ขณะที่กรรมการสอบฯ รับมีข้อมูลหลายจุดยังไม่สมบูรณ์
    เช้าวันอังคารที่ผ่านมา ที่อาคาร 6 กองบัญชาการกองทัพไทย ครอบครัวของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 จำนวน 5 คน ประกอบด้วย นายพิเชษฐ ตัญกาญจน์, นางสุกัลยา ตัญกาญจน์, น.ส.สุพิชชา ตัญกาญจน์ และลุงกับน้าของน้องเมย และญาติอีกคน เข้าพบ พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร ในฐานะเป็นประธานกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการเสียชีวิตของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เพื่อรับฟังผลการสอบสวนของคณะกรรมการฯ ภายหลังทำหนังสือเชิญเมื่อปีที่แล้ว
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเดินทางมาถึง นางสุกัลยานำรูปของน้องเมยใส่ชุดนักเรียนเตรียมทหาร  เข้าสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช บริเวณด้านหน้ากองบัญชาการกองทัพไทย ในขณะที่บิดา พี่สาวและลุงของน้องเมยรออยู่ด้านนอก นางสุกัญญากล่าวสั้นๆ ว่า วันนี้มาฟังผลสอบการเสียชีวิตบุตรชายของกองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งยังติดใจหลายประเด็น ส่วนจะดำเนินคดีฟ้องร้องกองบัญชาการกองทัพไทยหรือไม่นั้น ขอให้สอบถามทางบุตรสาว
    ต่อมาเวลา 11.20 น. ครอบครัวของน้องเมยเดินออกมาจากอาคาร 6 ภายในกองบัญชาการกองทัพไทยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและไม่พอใจ
    นางสุกัญญาเปิดเผยด้วยน้ำเสียงโมโหว่า สาเหตุที่เดินออกมา เนื่องจากว่าทางกองทัพไทยไม่อนุญาตให้ลุงน้องเมยและญาติอีกคนเข้ารับฟังผลการสอบสวน ซึ่งต้องเข้าใจว่าทุกคนมีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูน้องเมยมา ขอให้สื่อไปสอบถามทาง พล.อ.อ.ชวรัตน์เอง
    "เรารู้สึกไม่โอเคกับตรงนี้ ถ้าเชิญมาฟังทุกคนก็จะต้องได้ฟัง ยืนยันว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดีทุกอย่างตามกฎหมายอย่างเต็มที่ และที่มานี้ยังไม่ได้รับฟังคำชี้แจงอะไรจากประธาน และยังไม่รู้อะไรทั้งสิ้น เพราะไม่ให้เข้าฟังทั้งหมด" นางสุกัญญากล่าว
    ขณะที่นางสุพิชากล่าวว่า ไม่เข้าใจทำไมกรรมการที่เปิดเผยข้อเท็จจริงที่โปร่งใส ไม่ให้ลุงและน้าเข้าไป เพราะเลี้ยงน้องมาตั้งแต่เด็ก
    ส่วนนายพิเชษฐบอกกับสื่อมวลชนว่า หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมให้ตามไปที่ จ.ชลบุรี ตนจะมีการแถลงข่าวต่อกรณีนี้ พร้อมขึ้นรถส่วนตัวเตรียมเดินทางกลับ
    อย่างไรก็ตาม 15 นาทีต่อมา เจ้าหน้าที่กองทัพไทยได้โทรศัพท์ตามครอบครัวน้องเมย โดยยืนยันจะให้เข้ารับฟังทั้งหมด ทั้งหมดจึงยอมกลับเข้ามาฟังผลการสอบสวนอีกครั้ง
    กระทั่งเวลา 13.45 น. ครอบครัวน้องเมยเดินทางออกจากอาคาร 6 ในกองบัญชาการกองทัพไทย อีกครั้ง โดยนายพิเชษฐกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ไม่พอใจผลการสอบสวน ยังติดใจอีกหลายประเด็น และจะดำเนินการตามกฎหมายก่อนจะขึ้นรถยนต์ส่วนตัวเดินทางกลับ
    มีรายงานข่าวแจ้งว่า ครอบครัวน้องเมยได้แจ้งข้อสงสัยต่อการเสียชีวิตของบุตรชาย 3-4 ประเด็น ให้กับ พล.อ.อ.ชวรัตน์ และทาง พล.อ.อ.ชวรัตน์จะนำเรียน พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงใหม่อีกรอบ 
    รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 29 ม.ค.2561 โรงเรียนเตรียมทหารจัดงานวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหารครบ 60 ปี จ.นครนายก โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม รวมถึงรัฐมนตรีทหาร ผบ.เหล่าทัพ ตลอดจนนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
     พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง ประธานคณะกรรมสอบสวนฯ เปิดเผยภายหลังว่า วันนี้ครอบครัวของน้องเมยมาพูดคุยในประเด็นที่คาใจและสงสัย โดยเฉพาะสาเหตุการเสียชีวิต รวมถึงรอยช้ำ แต่ไม่ได้มีเอกสารหรือหลักฐานใดๆ มามอบให้ ซึ่งบรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี แต่ที่มีสีหน้าเคร่งเครียดอาจเป็นเพราะเหนื่อย เนื่องจากยังไม่ได้ทานข้าว ส่วนจะมีการพูดคุยกันอีกรอบหรือไม่นั้น ได้มีการนัดหมายกันว่าจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน เปิดช่องทางคุยกันมากขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลของผลสอบสวนฯ ซึ่งเป็นเอกสารที่ญาติต้องการ แต่ตนยังไม่ได้ดูว่าขอในส่วนโรงเรียนเตรียมทหารหรือส่วนใด 
    พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าวต่อว่า หลังจากนี้คณะกรรมการฯ จะมีการพูดคุยถึงผลชันสูตรของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กับความเห็นของแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ว่าแต่ละฝ่ายมีความเห็นเป็นอย่างไร เนื่องจากคณะกรรมการฯ หลายคนยังไม่เห็นข้อมูลของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งในบางประเด็นคาบเกี่ยวกันอยู่ เราต้องการให้ได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยอมรับกันได้ของทั้งสองฝ่าย 
    "ยืนยันว่าไม่มีการกดดันครอบครัว หรือมีการยื่นข้อเสนอใดๆ และคณะกรรมการฯ ชี้เเจงในทุกคำถาม ซึ่งการดำเนินการต่อไป ก็ไม่ได้มีการขีดเส้นใต้ว่าจะต้องเสร็จเมื่อใด แต่ก็จะทำโดยเร็ว คาดว่าจะจบลงด้วยดี"  พล.อ.อ.ชวรัตน์กล่าว.