สมุนโกงด่าเผด็จการ ‘มาชิน’หัวร้อนเอาใจนาย/คสช.ย้ำตื่นตัวคุม‘มั่นคง’ยันเลือกตั้ง


เพิ่มเพื่อน    

  โฆษก คสช.เผย ผบ.ทบ.เตือนหน่วยงานความมั่นคงรับมือปลดล็อกพรรคการเมือง มีความตื่นตัวตลอดเวลา ยันทุกนาทีเดินตามโรดแมป ประคับประคองสถานการณ์ให้มีความสงบสุข เรียบร้อย นำไปสู่การเลือกตั้งให้ได้ "นิพิฏฐ์" ชี้อาจยืดไปอีก 5 เดือน ด้านเพื่อไทยเลือดหยุดไหล "อนุสรณ์" กำปั้นทุบดิน ย้อน "มาร์ค" อ้างต้นเหตุรัฐประหารเพราะ กปปส.ชุมนุม

    พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะเลขาธิการ คสช. กำชับกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ให้ติดตามสถานการณ์ความสงบเรียบร้อย หลังจะเริ่มคลายล็อกทางการเมืองตั้งแต่เดือน ก.ย.เป็นต้นไปว่า จากข้อสั่งการ พล.อ.เฉลิมชัย ได้เตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รับภารกิจในอนาคตว่ารัฐบาล  คสช.มีนโยบายเกี่ยวกับสถานการณ์ความมั่นคงอย่างไร ดังนั้นในส่วน กกล.รส. ต้องรับทราบภารกิจ และต้องเตรียมงานของตนให้พร้อม มีความตื่นตัวตลอดเวลา เพื่อรองรับกับภารกิจด้านความมั่นคงของรัฐบาล เพื่อให้มีความสงบสุขของบ้านเมืองให้คงอยู่ต่อไป 
    "ขณะนี้ทุกเวลาทุกนาทีตามแผนงานรัฐบาล คสช. ทุกอย่างเป็นไปตามโรดแมป ซึ่ง กกล.รส.เป็นกลไกหนึ่งด้านความมั่นคง ต้องปฏิบัติงานภายใต้กรอบกฎหมาย อำนาจหน้าที่ มีความพร้อมตลอด เพื่อตอบสนองภารกิจ และต้องทราบว่าภารกิจในช่วงเดือนกันยายนจะมีการคลายล็อกทางการเมืองเกิดขึ้น ดังนั้นในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องเตรียมความพร้อมของตนเองให้ตอบสนองภารกิจการเมืองช่วงต่อไปด้วย โดย กกล.รส.ต้องพยายามประคับประคองสถานการณ์ให้มีความสงบสุข เรียบร้อย นำไปสู่การเลือกตั้งให้ได้"
    พล.ต.ปิยพงศ์กล่าวว่า เมื่อเข้าสู่บรรยากาศทางการเมือง คำสั่งต่างๆ ที่ออกมานำไปสู่การเดินหน้าทางการเมือง อะไรที่อนุญาตให้ทำได้ เจ้าหน้าที่ก็ต้องรู้ว่ามีคำสั่งออกมาแล้ว แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการห้าม และขอความร่วมมือ แต่เมื่อมีคำสั่งออกมาอนุญาตให้ทำ เจ้าหน้าที่ก็ต้องศึกษา ติดตามด้วยว่าอะไรอนุญาต กับที่ยังไม่อนุญาต หากเจ้าหน้าที่ไม่รู้แล้วบางเรื่องอนุญาตให้ทำ แต่ยังไปห้ามอีก ก็จะกลายเป็นข้อครหาที่ไม่ดีได้ 
    "บรรยากาศการเมืองตอนนี้ จากที่ คสช.ได้ติดตามทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทุกคนพยายามทำหน้าที่ของตนเองอย่างดียิ่ง เคลื่อนไหวตามกรอบกฎหมาย ส่วนเจ้าหน้าที่ก็ปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ เพื่อรักษาสถานการณ์ความสงบเรียบร้อย และย้ำว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งบอกเหตุว่าจะเกิดความไม่เรียบร้อย โดยภาพรวมยังปกติอยู่ และทุกอย่างก็เป็นไปตามโรดแมป ไม่มีอะไรที่จะทำให้นอกเหนือไปจากนี้" ทีมโฆษก คสช.กล่าว
    นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ระบุว่า ในวันที่ 28 สิงหาคมจะประชุม คสช.เพื่อพิจารณาคลายล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้ว่าอาจจะมีการคลายล็อกในบางเรื่องเท่านั้น เช่น การให้พรรคการเมืองจัดประชุมใหญ่ เพื่อแก้ข้อบังคับในการเลือกกรรมการบริหารพรรคหาสมาชิกเพิ่มเติมได้ หรือดำเนินการเกี่ยวกับการทำไพรมารีโหวต เป็นต้น แต่อาจจะไม่ใช่การคลายล็อกเพื่อให้มีการหาเสียงได้ ซึ่งพรรคก็รับได้ เพราะการดำเนินการต่างๆของพรรคการเมืองจะได้เดินหน้าต่อไปได้
คลายล็อกกลางกันยา
          เขาคาดว่า คสช.จะสามารถคลายล็อกได้ในช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ หลังจากที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งกำหนดให้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีผลบังคับใช้ 90 วันหลังจากวันที่ประกาศใช้ โดยจะต้องทำกิจกรรมเหล่านี้ให้ทันใน 90 วันหลัง ก็จะทันเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 แต่ถ้าทำไม่เสร็จในเวลา 90 วันหลัง เวลาการเลือกตั้งก็อาจจะยืดออกไปอีกประมาณ 5 เดือน” นายนิพิฏฐ์กล่าว
    ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทำงานทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยกโมเดลสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี หาเสียง 20 วันยังสามารถทำได้ว่า ในการเลือกตั้งที่จะถึงในรอบนี้ จะมีการห้ามโฆษณาประชาสัมพันธ์ ทำได้เพียงแค่ติดโปสเตอร์ A3 จะติดโปสเตอร์ป้ายไวนิลใหญ่ๆ แบบเมื่อก่อนก็ทำไม่ได้ เพราะจะทำได้เฉพาะที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้กำหนดเท่านั้น 
    ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งต่อไป ควรให้เวลาประชาชนในการดูว่าผู้แทนของเขาใครมีความเหมาะสม ประกอบกับในครั้งนี้การเลือกตั้งในแต่ละเขต เบอร์จะไม่เป็นเบอร์เดียวกัน ในเมื่อไม่เป็นเบอร์เดียวกัน การพิมพ์บัตรเลือกตั้งในครั้งนี้จะมีชื่อ นามสกุล มีเบอร์ติดต่อและโลโก้พรรคประกอบด้วย เพราะการพิมพ์บัตรจะต้องใช้เวลามาก ดังนั้นจะต้องเปิดรับสมัครและปิดรับสมัครให้ครบก่อนจึงจะไปพิมพ์บัตรเลือกตั้งได้
          นายวิรัตน์กล่าวต่อว่า จากเหตุผลที่กล่าวไป การใช้เวลาหาเสียงเลือกตั้งแค่ 20 กว่าวันตามที่นายวิษณุพูดที่เคยใช้เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว จะเอามาใช้กับบริบทในปัจจุบันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะหลักเกณฑ์อะไรต่างๆ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะถึงควรจะให้เวลา นับตั้งแต่วันสมัคร จนถึงวันเลือกตั้งต้อง 45 วันขึ้นไป จนถึง 60 วัน ไม่ใช่ 20 วันอย่างที่นายวิษณุเสนอ ตนไม่เห็นด้วย
    นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุเตรียมเสนอให้ คสช.พิจารณาคลายล็อก 6 ข้อ ให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมต่างๆได้ว่า ถ้าถามว่าเชื่อหรือไม่ว่า 6 ข้อนั้นเป็นไปได้หรือไม่ คำตอบก็คือเชื่อ คือเชื่อเพราะว่าถึงเวลาแล้วตามกฎหมายที่ใกล้แล้ว เป็นไปตามสถานการณ์ของเวลา และทั้ง 6 ข้อนั้นก็เป็นเรื่องที่ผ่านการพูดคุยหารือระหว่างคสช.กับพรรคการเมืองมาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำ ไม่ใช่เป็นการร้องขอ เพราะถ้าไม่ทำจะเกิดปัญหากับทุกคนทั้งผู้ถืออำนาจ พรรคการเมือง ระบบเลือกตั้ง และกระทบไปถึงโรดแมปด้วย 
ปลดล็อกรัฐบาลเสี่ยง
    เขาเชื่อว่าจะมีการคลายล็อกก่อนแล้วการปลดล็อกก็จะตามมาในเวลาไม่นานนัก ซึ่ง คสช.คงจะคลายล็อกให้ทั้งหมด เพราะจะมีผลทางการเมือง อาจจะเกรงว่าจะเกิดแรงกดดันต่อรัฐบาลก็ได้ ดังนั้นจึงเพียงแค่คลายล็อก ถึงจะเรียกร้องอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าจะมีการปลดล็อกทั้งหมด 
    "ถ้ามองในแง่ของรัฐบาลและ คสช.อาจจะสุ่มเสี่ยงเกินไปต่อเรื่องอื่นๆ เชื่อว่าคงรอกระทั่งกฎหมายมีผลบังคับใช้ และใช้การบังคับตามกฎหมาย คือให้กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วมีกฤษฎีกาเลือกตั้ง และมีการจัดการ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 6 ข้อนั้นมีความจำเป็น ถึงอย่างไรก็ต้องทำ ไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ต้องทำ เพื่อให้พรรคการเมืองประชุมได้ ต้องมีการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคการเมืองได้ จัดการเรื่องสมาชิกได้ เพราะทุกเรื่องต่างอยู่ในกฎหมายทั้งหมด ทุกข้อเกี่ยวเนื่องกันไปหมด เรียกว่าเฟืองต่อเฟือง ต่อเนื่องกันไปหมด”
    นายนิกรกล่าวว่า อีกเรื่องหนึ่งที่นายวิษณุยังพูดไม่ชัด เพราะอาจเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจทางการเมืองเป็นหลัก คือเรื่องไพรมารีโหวต เบื้องต้นคือตามรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีไพรมารีฯ เพราะฉะนั้นการยึดถือตามรัฐธรรมนูญเป็นนัยสำคัญ จะได้ไม่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หาก คสช. เลือกที่จะคลายล็อกเรื่องใด ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำได้อยู่แล้ว ไม่น่ากังวล มาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น 
    ทั้งนี้ การที่ไม่ปลดล็อกไปเลยคงเพราะกลัวว่าจะเป็นแรงกดดันต่อรัฐบาล เพราะในการหาเสียงเลือกตั้งบางมิติการชี้ว่ารัฐบาลทำไม่ถูกนั้น ก็เป็นการหาเสียงอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น จะเกิดแรงกดดันต่อรัฐบาลอย่างมาก ไม่ใช่การหาเสียงเพื่อการเลือกตั้งแต่แรงกดดันจะไปอยู่ที่รัฐบาล โดยอาจจะกลัวเรื่องความรุนแรงทางการเมืองที่จะพุ่งเข้าใส่รัฐบาลมากกว่า ดังนั้นเชื่อว่าการปลดล็อกทั้งหมด คสช.คงรอให้กฎหมายมีผลบังคับใช้
    “ที่เรายอมรับสภาพการคลายล็อกได้ เพราะไม่มีทางเลือกอื่น ยังไงก็ต้องรับ เพราะเชื่อว่ายังไม่ปลดล็อกแน่ ที่ต้องคลายล็อกเพราะเป็นสภาพบังคับของกฎหมาย แต่สภาพของการเมืองจะทำให้การปลดล็อกเกิดขึ้นหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ และไม่เชื่อว่าจะกระทบต่อโรดแมป เพราะถึงขนาดนี้แล้ว หลายเสียงยังย้ำอยู่ว่าเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 ทั้งจากนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และบรรดา คสช. แต่ยกเว้นว่ามีเหตุผลอื่นที่จะขยายไป แต่ครั้นจะไปบอกว่าเป็นวันที่ 24 แน่ก็พูดไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องการตัดสินใจร่วมกับ กกต. จะกลายเป็นการก้าวก่าย กกต. เราก็ต้องเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น คือ 24 ก.พ.62 ยกเว้นว่ามีเหตุผลอื่นที่ยังไม่มีรู้ว่าคืออะไร” นายนิกรกล่าว
    นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า เป็นเรื่องของทางรัฐบาลและ คสช. ซึ่งไม่ได้มีการมาปรึกษา กรธ.แต่อย่างใด เพราะตามร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองของ กรธ.นั้น กำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมตามมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญ ด้วยการให้มีคณะกรรมการสรรหาผู้สมัคร โดยมีโครงสร้างครึ่งๆ ระหว่างกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรค เพื่อคัดเลือกผู้ลงสมัคร ส.ส. ส่วนการปรับแก้ของ สนช. ใน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่บังคับใช้อยู่นั้น เป็นการทำไพรมารีโหวต มีเงื่อนไขต้องหาสมาชิกจังหวัดละ 100 คน ซึ่งทั้ง 2 วิธีจาก กรธ.และ สนช.ไม่ได้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่จะต่างกันที่ความหนักเบาของวิธีคัดเลือกผู้ลงสมัคร ส.ส.เท่านั้น
เพื่อไทยจิก "มาร์ค"
          โฆษก กรธ.กล่าวว่า เมื่อพูดถึงเงื่อนเวลาที่ต้องใช้การคัดเลือกผู้ลงสมัคร ส.ส. ที่ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับการคลายล็อก 6 ข้อ เพื่อหาสมาชิกไปทำไพรมารีโหวต ตามที่ฝ่ายการเมืองกังวลว่าจะทำให้ขั้นตอนดังกล่าวส่งผลให้เวลาหาเสียงเหลือเพียง 20 กว่าวันหากเลือกตั้งวันที่ 24 ก.พ.62 นั้น ถ้าเปรียบเทียบแนวทางของ กรธ.กับ สนช. แนวทางของ กรธ.ก็จะทำให้ใช้เวลาน้อยกว่า และขั้นตอนต่างๆ เป็นเรื่องที่ให้พรรคการเมืองกำหนดเอง
    ขณะที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติ พาดพิงพรรคเพื่อไทยเป็นต้นเหตุการรัฐประหารว่า สิ่งที่นายอภิสิทธิ์พูดอาจมาจากชุดความคิดเดิมๆ ที่ยังคงหมกมุ่นวนเวียนอยู่กับความเข้าใจผิด หรือพยายามสะกดจิตตัวเองให้เชื่อและพูดแบบนั้นเป็นแผ่นเสียงตกร่องตลอดเวลา โดยปราศจากการสำรวจตัวเองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้ประเทศเกิดรัฐประหารหรือไม่  
    "คนส่วนใหญ่น่าจะไม่เห็นด้วยกับคุณอภิสิทธิ์ เพราะมีข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ยืนยันชัดว่า บ้านเมืองมาถึงจุดนี้ มาจากความไม่เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลาออกมาเป็นแกนนำม็อบ ชัตดาวน์ประเทศ ก่อจลาจลขัดขวางการเลือกตั้ง สมาชิกพรรคหลายคนไปเป็น กปปส.เพื่อสร้างสถานการณ์เรียกร้องรัฐประหารหรือไม่ พอรัฐประหารสำเร็จก็กลับมาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตามเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอใกล้จะเลือกตั้งก็พยายามจะพลิกตัวเองมารับบทพระเอก แล้วผลักคนอื่นไปเป็นผู้ร้ายหรือไม่"
    นายอนุสรณ์กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ทำสถิติเป็นหัวหน้าพรรคที่นำสมาชิกพรรคบอยคอตการเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง ไปร่วมเป่านกหวีดด้วยตัวเองก็ไปมาแล้วหรือไม่ ถ้าทุกฝ่ายยึดมั่นในกติกาประชาธิปไตย ยุบสภาก็ไปเลือกตั้งให้ประชาชนตัดสินใจ ใครชนะก็มาบริหารประเทศ คนแพ้ก็รอ 4 ปี ไปคิดนโยบายเพื่อให้ชนะใจประชาชน ปัญหาก็คงไม่เกิด แทนที่นายนายอภิสิทธิ์จะท่องคาถากล่าวหาคนอื่นอยู่แบบนี้ น่าจะลองไปคุยกับไอติม นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หลานชายนายอภิสิทธิ์ ที่ยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้ง 20 ปี เพราะนโยบายไม่ตอบโจทย์ให้ชนะได้ 
    "เอาเวลาไปคิดนโยบายแก้ปัญหาให้ประเทศชาติและประชาชน นำพาประเทศชาติก้าวไปข้างหน้าอย่างสร้างสรรค์ ลดการพาดพิงคนอื่นไปในทางเสียหายจะดีกว่า พรรคเพื่อไทยขอเชิญชวนทุกฝ่ายก้าวข้ามความขัดแย้ง ไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ คิดการเมืองให้น้อย คิดถึงบ้านเมืองให้มาก" รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว
    รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ส่งสัญญาณจะมีการเลือกตั้งในเดือนก.พ.2562 รวมทั้งจะมีการคลายล็อกให้พรรคการเมืองเริ่มทำกิจกรรมการเมืองได้ ทำให้พรรคต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ ทั้งงานด้านนโยบายและผู้สมัครรับเลือกตั้ง รองรับการปลดล็อกที่จะเกิดขึ้นในเร็ววัน 
เพื่อไทยเลือดหยุดไหล
    โดยเฉพาะพื้นที่อีสาน ที่พรรคต้องรักษาผู้เล่นรายเดิมและเสริมทัพผู้เล่นรายใหม่ ที่ผ่านมากลุ่มสามมิตร ประกาศชัดพร้อมสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ หมายมั่นจะแย่งชิงพื้นที่ให้ได้มากที่สุด พยายามดูดอดีต ส.ส.เพื่อไทยไปหลายคน ซึ่งในวันนี้สถานการณ์เริ่มนิ่งแล้ว ภาคอีสานมีเพียงพื้นที่เมืองเลย นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข, นางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข, นายวันชัย บุษบา ที่ไม่อยู่แน่นอนแล้ว แต่พรรคได้ไปทาบทามนักการเมืองตระกูลสังขทรัพย์ จากค่ายภูมิใจไทย และนักการเมืองท้องถิ่นที่มีฐานเสียงดี ให้มาร่วมงานเป็นผลสำเร็จ 
         จังหวัดนครราชสีมา พื้นที่บ้านเกิด พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีจำนวนเขตเลือกตั้งมากถึง 14-15 เขต ถึงแม้พรรคเพื่อไทยโดนเขย่าอย่างหนัก มือทำงานการเมืองขั้วตรงข้ามส่งตัวแทนมาเจรจา เสนอเงื่อนไขต่างๆ ให้อดีต ส.ส.นครราชสีมาพรรคเพื่อไทยหลายคน จนเกิดความระส่ำ จนถึงตอนนี้มีเพียงนักการเมืองตระกูลรัตนเศรษฐ และพื้นที่ของนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสานเท่านั้นที่จะไม่อยู่กับพรรค 
    ในส่วนของนายอัสนี เชิดชัย และนางลินดา เชิดชัย อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่มีกระแสข่าวแพร่สะพัดจะไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ และพยายามชักชวนเพื่อนอดีต ส.ส. รวมทั้งนักการเมืองท้องถิ่นให้แท็กทีมไปพร้อมกัน ทำให้นายยงยุทธ ติยะไพรัช หนึ่งในแกนนำพรรคที่นายอัสนีให้ความเกรงใจ ได้พาบุคคลทั้งสองไปคุยกับแกนนำคนสำคัญในพรรค จนทั้งคู่เปลี่ยนใจ ให้คำยืนยันยังอยู่ร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยต่อไป
         ขณะเดียวกัน นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ อดีต ส.ส.เขต 10 และอดีตแกนนำพรรคภูมิใจไทย ได้ติดต่อขอมาร่วมงานการเมืองกับพรรคเพื่อไทย และได้ไฟเขียวจากแกนนำคนสำคัญของพรรค ให้นายบุญจงกลับมาร่วมงานการเมืองอีกครั้ง พร้อมทั้งยืนยันจะให้สมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่เดิม 
    นอกจากนี้ ยังผลักดันบุคคลที่ทุ่มเททำงานให้กับพรรคได้ลงสมัคร ส.ส.ระบบเขต นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย จะมาลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขต 1 นครราชสีมา เพื่อต่อสู้แย่งฐานเสียงกับผู้สมัครจากพรรคชาติพัฒนา และนายสุทิน คลังแสง อดีต ส.ส.มหาสารคาม ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทยเดิม ครั้งหน้าจะได้ลงสมัคร ส.ส.เขตในนามพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน
         รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยเผยอีกว่า ในส่วนของพื้นที่ ส.ส.อีสานในจังหวัดอื่นเริ่มนิ่ง เนื่องจากขั้วตรงข้ามเจาะไม่เข้า รวมทั้งมีข่าวแพร่สะพัดในวง ส.ส. เรื่องปัจจัยสนับสนุนที่ได้ไม่เป็นไปตามข้อตกลง และบางส่วนยังไม่มีการสั่งจ่าย ทำให้อดีต ส.ส.ที่เคยตัดสินใจจะย้ายไปร่วมงานชะลอการตัดสินใจ และคนที่ตัดสินใจไปแล้ว เปลี่ยนใจ ขอกลับมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย 
    อาทิ กลุ่มนายปรีชา ได้ร้องขออดีตรัฐมนตรีบางคนไปช่วยพูดเจรจากับผู้ใหญ่ในพรรค แต่สุดท้ายไม่เป็นผล เช่นเดียวกับนายวิรัช รัตนเศรษฐ ที่แม้ตัดสินใจไปแล้ว เริ่มลังเล ขอต่อรองทางพรรค โดยนายวิรัชและภรรยาจะไปร่วมงานพรรคพลังประชารัฐ แต่ขอพื้นที่ให้ลูกชายลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทย แต่ทางแกนนำพรรคไม่เห็นด้วย ไม่รับข้อเสนอดังกล่าว 
    รวมทั้งกรณีนายสัมภาษณ์ อัตถาวงศ์ อดีต ส.ส.นครราชสีมา และพี่ชายนายสุภรณ์ อยู่ในภาวะลำบากใจ เนื่องจากมองว่า หากยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย มีโอกาสจะได้รับการเลือกตั้งกลับมามีสูง ขณะเดียวกันเกรงใจนายสุภรณ์ ที่ชักชวนมาเล่นการเมือง และนายสุภรณ์เอง ยืนยันชัดเจนจะไม่ขออยู่ร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน  
          ในส่วนของอดีต ส.ส.ที่มีแนวโน้มสูงจะไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นในนามบุคคลและครอบครัว ไม่ใช่ระดับแกนนำมุ้ง เช่นใน จ.ลพบุรี มีเพียงพื้นที่ของนายนิยม วรปัญญา ที่ พล.อ.สรชัช วรปัญญา ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และบุตรชาย จะไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ กลุ่มเพชรบูรณ์ ของนายสันติ พร้อมพัฒน์ นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ อดีต ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคเพื่อไทย กรณีนายสันติได้นำรายชื่อกลุ่มอดีต ส.ส.เพชรบูรณ์ไปเสนอกับพรรคพลังประชารัฐทั้งหมด
    แต่ปรากฏว่าไม่มีใครไป สร้างความไม่พอใจให้ผู้ใหญ่ภายในพรรคอย่างมาก สุดท้ายจึงมีเพียงนายสันติและภรรยาเท่านั้นที่จะไป แต่ในส่วนฐานที่มั่นหลักในโซนภาคเหนือ ภาคอีสาน ส.ส.หลายคนยังเหนียวแน่น ไม่ทิ้งพรรคไปไหน

"มาชิน"หยาม"บิ๊กตู่"ไม่รอด
    นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊ก ระบุว่า เห็นกิริยาอาการของพลเอกประยุทธ์ พลเอกประวิตร แกนนำคณะรัฐประหารและบรรดาลิ่วล้อที่รับใช้ใกล้ชิดของ คสช. ไม่ว่าจะเป็นพวกเนติบริกร พวก สนช. สปท. ครม. ที่กำลังเสวยสุข มีตำแหน่งใหญ่โต มีเงินเดือนเป็นแสนเป็นล้าน มีอภิสิทธิ์ต่างๆ ที่ได้มาจากการสมคบคิดร่วมกันปล้นอำนาจปล้นประชาชนสำเร็จแบ่งสรรปันส่วนอำนาจ ยศตำแหน่ง เงินทอง ที่ได้มาจากการรัฐประหาร บนความทุกข์ยากแร้นแค้นของอาณาประชาราษฎร์ และฉุดรั้งประเทศให้ถอยหลังไปแบบสุดกู่ กฎกติกาบ้านเมืองกลายเป็นกฎของเผด็จการ โดยเผด็จการ และเพื่อเผด็จการอย่างแท้จริง ไม่ใช่กฎหมายที่สร้างขึ้นมาโดยประชาชน ของประชาชน และเพื่อประชาชนเลย วิกฤติจึงเกิดขึ้นกับคนไทยและประเทศไทยของเราอย่างหนักหน่วงและรุนแรง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เกือบ 5 ปีแล้ว
    "ดูกิริยาอาการของพวกเขาร้อนรน โกรธง่าย โมโหง่าย ชอบด่ากราด และพยายามประชดประชันไปถึงนายกทักษิณ นายกยิ่งลักษณ์ตลอด ถ้าเป็นภาษามวยเขาเรียกว่าออกอาการ อาการหมดแรง ไร้พลัง ไม่มีกองหนุน ไม่มีคนเชียร์ เป็นมวยที่มีอาการร่อแร่ ที่จะถูกน็อกในเวลาอีกไม่นาน ในขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตยกลับมีพลังมากขึ้นๆๆ ทุกขณะ และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ด้วยความรู้ ด้วยความจริง ด้วยปัญญา จึงอาจกล่าวได้ว่าเผด็จการ คสช.กำลังจะพังทลายลงแล้วในเร็ววันนี้ อยู่ที่ว่าจะไปวันไหน จะลงท่าไหน และจะมีแผ่นดินอยู่หรือไม่ เพราะพวกคุณทำบาปทำกรรมกับประชาชนและประชาธิปไตยกับประเทศไทยไว้มากมาย แม้จะพยายามจะยื้ออำนาจเพื่ออยู่ต่อ คนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ให้โอกาสพวกคุณอีกแล้ว"
    นายนครระบุว่า อยากส่งสัญญาณเตือนไปยังบรรดาลิ่วล้อเครือข่ายของเผด็จการทุกคน และบรรดาข้าราชการที่รับใช้ระบอบเผด็จการอยู่ ที่มีใจเป็นธรรม รักความจริง รักความถูกต้อง รักความยุติธรรม รักประชาชน และประชาธิปไตย ได้โปรดใช้วิจารณญาณของทุกท่านว่าจะอยู่ฝั่งไหน ระหว่างฝ่ายเผด็จการที่ไม่มีความชอบธรรมมาตั้งแต่ต้นและกดขี่ข่มเหงประชาชนและพวกท่านอยู่กับฝ่ายประชาชนและประชาธิปไตย ที่พร้อมจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกท่าน เพราะดูอาการของแกนนำเผด็จการแล้ว ไม่น่าจะรอด ในเวลาอันสั้นนี้แน่นอนครับ.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"