ปลุกผีแดงฮาร์ดคอร์ เจ้าของคลังแสงบางนํ้าเปรี้ยว/จ่อจับมนัส-จักรภพ


เพิ่มเพื่อน    

ปลุกผีแดงฮาร์ดคอร์ “วัฒนา ทรัพย์วิเชียร” อดีตผู้ต้องหาคดีอาวุธที่พ้นโทษรับสมอ้างเป็นเจ้าของ “คลังแสงบางน้ำเปรี้ยว” เตรียมขอศาลฝากขังผลัดแรก 7 ธ.ค. อ้างเชื่อมโยงถล่มม็อบ กปปส. เล็งออกหมายจับอีก 5 ราย อึ้งเป็นตัวละครเดิมเมื่อปี 2557 มีทั้ง “เสธ.หยอย-เจ๊เพ็ญ” ประยุทธ์กังวลมีซุกซ่อนอีก ลั่นเรื่องปลดล็อก คสช.ยังไม่คิดถก “ประวิตร” มามุกใหม่ ช่วงนี้ยุ่งเรื่อง ครม.ใหม่ทำงาน ส่วนปล่อยผีนักการเมืองยังไม่รู้ มีชัยเชื่อ คสช.หาช่องผ่อนคลายแน่

เมื่อวันจันทร์ เริ่มมีความคืบหน้ามากขึ้นจากกรณีการตรวจพบอาวุธสงคราม ระเบิดขว้างสังหาร และกระสุนปืนขนาดต่างๆ จำนวนมาก ภายในริมคลองน้ำข้างนา พื้นที่หมู่ 15 ต.ดอนฉิมพลี อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน

โดยมีรายงานว่า นายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร ได้เดินทางเข้ามาติดต่อขอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่รับผิดชอบของกองร้อยรักษาความสงบ ศูนย์ป้องกันภัยทางอากาศ ทบ.1 (ศปภอ.ทบ.1) ในพื้นที่วังน้อย-ปทุมธานี เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารได้นำตัวมาควบคุมไว้ในมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ตามมาตรา 44 ฐานมีอาวุธสงครามในครอบครอง และจะนำตัวนายวัฒนาไปขออนุมัติศาลเพื่อฝากขังผลัดแรกวันที่ 7 ธ.ค.นี้ เมื่อครบกำหนดควบคุมตัวครบ 7 วัน

ทั้งนี้ จากการซักถามและตรวจสอบประวัติอาชญากรรม พบว่านายวัฒนาเชื่อมโยงกับเครือข่ายกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ และเคยต้องคดีมีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองมาแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ต้องสงสัยอีก 1 ราย

สำหรับนายวัฒนานั้น มีชื่อและเข้ารายงานตัวตามคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 61/2557 เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2557 มาแล้ว และเมื่อวันที่ 13 ส.ค.2557 นายวัฒนา หรือนายศิวะ ทรัพย์วิเชียร ก็ถูกจับกุมตามหมายจับศาลจังหวัดทหารบกสระบุรี เลขที่ 14 ก./2557 ลงวันที่ 29 มิ.ย.2557 ข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงครามที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งเป็นการขยายผลจากการจับกุมนายสมเจตน์ คงวัฒนะ หรือสน ผู้ต้องหาเครือข่ายอาวุธสงครามวังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้แจกจ่ายอาวุธ เช่น เอ็ม 79 ระเบิดอาร์จีดี 5 ให้บุคคลต่างๆ ไปเพื่อสร้างความวุ่นวายแก่ประชาชนในช่วงที่การชุมนุมของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ได้ซัดทอดว่าได้ส่งมอบอาวุธให้นายวัฒนาเพื่อให้นำไปแจกจ่ายอีกทอด ซึ่งนายวัฒนาให้การสารภาพตลอดข้อกล่าวหาว่าไปรับอาวุธจากนายสมเจตน์จริง โดยหลังจากรับมา ได้ส่งอาวุธต่อให้นายชัยวัฒน์ ผลโพธิ์ หรือเปี๊ยก กาละแม เพื่อไปใช้ก่อเหตุในจุดต่างๆ และส่วนหนึ่งนำไปฝังดินไว้แถว อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา โดยศาลทหารได้ตัดสินจำคุกนายวัฒนา 2 ปีในคดีนี้ และเมื่อพ้นโทษออกมาก็ย้ายภูมิลำเนาจากพระนครศรีอยุธยาเข้ามาอยู่บ้านหลังหนึ่งที่พื้นที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา

จ่อหมายจับเสธ.หยอย-เจ๊เพ็ญ

มีรายงานข่าวจากชุดสืบสวนคลี่คลายคดีตรวจพบอาวุธสงครามจำนวนมากที่ จ.ฉะเชิงเทรา แจ้งว่า เบื้องต้นพบความเชื่อมโยงว่าอาวุธดังกล่าวเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในปี 2557 โดยเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ หัวหน้าส่วนปฏิบัติการฝ่ายกฎหมาย คณะรักษาความสงบและแห่งชาติ (คสช.) เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อร้องทุกข์ดำเนินคดี 5 ราย ประกอบด้วย 1.นายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร 2.นายชัยวัฒน์ ผลโพธิ์ หรือเปี๊ยก กาละแม 3.นายสมเจตน์ หรือ สน คงวัฒนะ 4.นายมนัส หรือ พล.ท.มนัส หรือเสธ.หยอย เปาริก อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 และ 5.นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำกลุ่ม นปช.หรือคนเสื้อแดง ในฐานความผิดร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงครามที่นายทะเบียนไม่สามารถออกให้ได้ไว้ในครอบครอง และความผิดฐานอั้งยี่ ซ่องโจร สืบเนื่องจากการตรวจพบอาวุธสงครามจำนวนมากในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เพราะพบว่าเป็นอาวุธที่บุคคลเหล่านี้ส่งมอบให้กับผู้ก่อเหตุวุ่นวายในช่วงปี 2557 และมีความเกี่ยวพันกับอาวุธเหล่านี้ โดยพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขอศาลอนุมัติหมายจับภายในวันที่ 6 ธ.ค.

ทั้งนี้ เมื่อปี 2557 ในการจับกุมนายวัฒนา ในคดีครอบครองอาวุธสงครามนั้น มีผู้ต้องหาทั้งหมด 11 คน จับกุมตัวได้ 7 คน ซึ่งประกอบด้วย พล.ท.มนัส เปาริก, นายสมเจตน์ คงวัฒนะ, นายจิราวัฒน์ อรชุนกะ, นายภคภูมิ โกศินานนท์, นายอภิชาติ หรืออัคคี พวงเพ็ชร, นายพีรพงษ์ หรือธานินทร์ สินธุสนธิชาติ และนายวัฒนา หรือศิวะ ทรัพย์วิเชียร ส่วนอีก 4 คน หลบหนีคดีอยู่ ประกอบด้วย นายจักรภพ เพ็ญแข, นายจักรินทร์ เรืองศักดิ์วิชิต, นายกฤษณะ ทัพไทย และนายชัยวัฒน์ ผลโพธิ์

ขณะที่นายจักรภพ เพ็ญแข เผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair โดยปฏิเสธเกี่ยวข้องกับการซ่องสุมอาวุธ และประณามการออกข่าวที่มั่วซั่วไร้ข้อเท็จจริงของระบอบทหารที่ยึดครองอำนาจประเทศไทยอยู่ในปัจจุบันอีกครั้ง เรื่องดังกล่าวไม่ได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตนเลย ข่าวปลอมชิ้นนี้ถือเป็นความสิ้นคิดของคนออกข่าวและคนที่ไปคาบข่าวเอามาวิจารณ์ต่อมา สิ่งเดียวที่ตนยึดมั่นคือ การต่อสู้ตามหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย เพราะเพียงเท่านั้นฝ่ายประชาชนก็ชนะขาดลอย ไม่ต้องไปจับอาวุธที่ไหนให้ขัดต่อคุณธรรมและความยอมรับสากลเลย มีแต่โจรตำแหน่งสูง แต่จิตใจต่ำช้าในเมืองไทยเท่านั้น ที่ต้องคอยถืออาวุธและซื้ออาวุธให้มากเข้าไว้ เพราะรู้ว่าอำนาจชั่วของตัวเองใช้คุ้มหัวอะไรไม่ได้เลยเมื่อถึงเวลา ซึ่งอาจมาถึงในไม่ช้านี้ อย่ายั่วยุกันให้มากจนเกินไปนัก การลุกฮือของประชาชนไม่ใช่ของที่ไกลเกินเอื้อม

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวในเรื่องนี้ว่า กำลังตรวจสอบอยู่ว่าเป็นกลุ่มไหน ใครทำอะไร อย่างไร มาทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่งสิ่งที่น่าจะกังวลมากกว่าคือมีที่อื่นอีกหรือเปล่า วันนี้ก็มีการตรวจสอบ ติดตาม สืบสวนต่อไป สิ่งแรกที่พบคือเป็นล็อตเดียวกันกับที่เกิดเหตุในช่วงที่ผ่านมา แต่จะเกี่ยวข้องกับใครก็รับผิดชอบกันในเรื่องของการตรวจสอบ

พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงการพิจารณาปลดล็อกทางการเมืองว่า ในการประชุม คสช.ไม่ได้หารือเรื่องเหล่านี้ ซึ่งได้ชี้แจงอธิบายไปแล้ว

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวเช่นกันว่า ในที่ประชุม คสช.ไม่ได้มีการประเมินสถานการณ์เพื่อพิจารณาการปลดล็อกทางการเมือง ซึ่งสื่อก็ดูเอาเองว่าสถานการณ์ปัจจุบันมันควรจะปลดล็อกหรือไม่

อ้างปรับ ครม.ไม่คุยปลดล็อก

เมื่อถามว่า กรณีวิจารณ์ว่าไม่ควรนำเหตุการณ์ตรวจพบอาวุธสงครามมาเป็นเหตุผลยังไม่ปลดล็อก พล.อ.ประวิตรตอบว่า ยังไม่มีการประเมิน จะประเมินเมื่อไหร่ ยังไม่รู้ ตอนนี้มีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ จึงกำลังปรับเรื่องการทำงานอยู่

ถามถึงกรณีนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เพราะมีการนำชื่อมาเชื่อมโยงเหตุการณ์ตรวจพบอาวุธสงครามใน จ.ฉะเชิงเทรา พล.อ.ประวิตรตอบว่า ไม่รู้

เมื่อถามว่า กรอบเวลาในกฎหมายลูกที่ให้พรรคการเมืองสำรวจสมาชิกใหม่ใน 90 วัน จะเป็นเงื่อนไขให้ต้องพิจารณาปลดล็อกหรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบว่า เดี๋ยวเขาแก้ให้ ส่วนมาตรการจะเป็นอย่างไรนั้น ยังไม่ได้คุย เรายังไม่ทำอะไรเลย เดี๋ยวให้ฝ่ายกฎหมายเขาดู

พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงกรณีการควบคุมตัวนายวัฒนาว่า ยังไม่ได้รับรายงาน ซึ่งอาวุธที่พบที่ จ.ฉะเชิงเทรา อาจมีการนำมาทิ้งไว้ภายหลังมีนโยบายกวาดล้างอาวุธสงคราม ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุในช่วงการชุมนุมปี 2557 หรือไม่นั้น ยังไม่ทราบ แต่ในส่วนของตำรวจอาจทราบแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้รายงานขึ้นมา ส่วนจะมีผลต่อการพิจารณาปลดล็อกพรรคการเมืองหรือไม่นั้น ตรงนี้ต้องพิจารณาจากสถานการณ์ในภาพรวม

“อาวุธที่เจอบางชนิดเป็นล็อตเดียวกับที่ใช้ในช่วงการชุมนุมทางการเมือง จากนี้ต้องพิสูจน์ทราบว่ามีความเกี่ยวโยงอย่างไร และอาวุธในลักษณะนี้ยังมีอยู่อีกจำนวนหนึ่ง ต้องตรวจสอบว่ามีความเชื่อมโยงกับใคร มาจากไหน เป็นฝ่ายไหน ซึ่งการเคลื่อนไหวมีตลอดเวลา โดยเฉพาะในต่างประเทศและโซเชียลมีเดีย” พล.อ.วัลลภกล่าว และว่า การดูแลสถานการณ์ในช่วงเทศกาลปีใหม่นั้น ฝ่ายความมั่นคงติดตามสถานการณ์ข่าวตลอดเวลา แต่ขณะนี้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ

หวั่นมีอาวุธอีกเพียบ

ขณะเดียวกัน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะเลขาธิการ คสช. กล่าวว่า คิดว่าไม่มีอะไร เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรเร่งรัดให้ฝ่ายความมั่นคงกวาดล้างอาวุธสงคราม และปราบปรามมาเฟียผู้มีอิทธิพล จึงตรวจค้นหลายพื้นที่ ซึ่งคาดว่าผู้ที่ครอบครองอาวุธเกิดความกังวลว่ามีความผิด จึงนำอาวุธมาทิ้งในพื้นที่ดังกล่าว ส่วนที่เป็นปัญหาคืออาวุธที่เรายึดได้ครั้งนี้มีหมายเลขประจำเครื่องที่ตรงกับการใช้ในปี 2557 ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังขยายผลประเด็นดังกล่าวอยู่

เมื่อถามว่า มีการนำเข้าอาวุธสงครามต่างประเทศหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า อาวุธนี้ไม่ได้ผลิตในไทย คาดว่านำเข้าจากต่างประเทศนานแล้ว และนำมาใช้หมุนเวียนนอกระบบภายในพื้นที่ เมื่อเราตรวจค้นก็เกิดความกลัว แต่ที่น่ากังวลคือมีปริมาณเป็นจำนวนมาก และเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถสืบค้นได้หมดว่ายังมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังขยายผลต่อไป ส่วนที่เชื่อมโยงกับนายวุฒิพงศ์หรือโกตี๋นั้น เรากำลังรอผลการดำเนินการ แต่คนที่เคยถูกจับกุมเป็นกลุ่มฮาร์ดคอร์ ที่มีตัวตนชัดเจน และกำลังถูกดำเนินคดี ซึ่งย้ำว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้มั่ว

“ตอนนี้เรากำลังกวาดล้างอาวุธสงครามตลอดเวลา ตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร โดยเร่งรัดเพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์ความรุนแรง หรือนำอาวุธสงครามไปใช้ในอนาคต” พล.อ.เฉลิมชัยกล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตรระบุว่ายังไม่ปลดล็อกการเมือง เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่สงบ เลขาธิการ คสช.กล่าวว่า การปลดล็อกพรรคการเมือง ทาง คสช.จะพิจารณาร่วมกันในภาพรวมทุกประเด็น ไม่ใช่เฉพาะอาวุธสงครามอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกฎหมาย เรื่องสถานการณ์ และความเคลื่อนไหวต่างๆ ดังนั้นขอสรุปโดยรวม ช่วงนี้ยังไม่เหมาะที่จะเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะอาจจะมีปัญหาอื่นๆ ตามมาได้ ซึ่งทาง คสช.ได้ประชุมทุกเช้าวันอังคาร เพื่อประเมินสถานการณ์

ถามต่อว่า ได้หารือกับ พล.อ.ประยุทธ์เรื่องปลดล็อกหรือยัง พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า เราคุยกันทุกสัปดาห์ โดยฝ่ายความมั่นคงประเมินสถานการณ์ให้นายกฯ ทราบ และที่ประชุมจะเป็นผู้ตกลงใจว่าจะปลดล็อกให้เมื่อใด และอย่างไร ถ้าพร้อมเราก็ดำเนินการทันที แต่ถ้าติดขัดในแง่กฎหมาย และมีผลกระทบต่อพรรคการเมือง ก็จะออกมาตรการผ่อนปรน เชื่อว่าไม่มีผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น

”เวลาพิจารณาอะไร คนรับผิดชอบต้องพิจารณาในภาพรวม ผมเข้าใจความรู้สึกของการเมือง การเมืองเป็นเรื่องความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ถ้าความเห็นแตกต่างกลายเป็นความขัดแย้ง ฝ่ายความมั่นคงต้องพยายามตีกรอบความขัดแย้งให้อยู่ในกรอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติ ซึ่งผมกำลังทำตรงนั้นอยู่ ดังนั้นบางเรื่องที่เราไม่มั่นใจ เราก็ยังไม่ปล่อย เพื่อไปสู่จุดหมายเดียวกัน คือการเลือกตั้งตามแนวทางที่กำหนดไว้” พล.อ.เฉลิมชัยระบุ

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า การพิจารณาปลดล็อกพรรคการเมือง เป็นประเด็นที่ คสช.จะพิจารณา ส่วนที่พรรคการเมืองท้วงติงเรื่องระยะเวลาที่ไม่ปลดล็อกจะกระทบกับการเตรียมพร้อมของพรรคตามกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่นั้น เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาจะมีการพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาให้พรรคการเมืองได้ ส่วนจะขยายเวลาหรือไม่ หรือขยายเวลาเท่าใด ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับการคิดคำนวณ
“ที่ คสช.ยังไม่ปลดล็อก และถูกมองว่าขัดกับสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรองรับ และอาจนำไปสู่การยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความนั้น ในทางปฏิบัติทำได้ แต่ไม่รู้ว่าศาลจะรับเรื่องไว้ตีความหรือไม่ เพราะคำสั่ง คสช.นั้นเป็นกฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจไว้กว้างขวาง และที่ผ่านมาเรื่องนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้น” นายมีชัยกล่าว

รุมสับปลดล็อกรายวัน

ด้านนายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.การต่างประเทศ สมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ไม่อยากต่อความยาวเรื่องการยังไม่ปลดล็อกโดยอ้างการพบอาวุธ แต่ขอตั้งคำถามว่า 1.ถ้าอ้างว่ายังมีปัญหาความไม่สงบ ใครควรเป็นผู้รับผิดชอบ และต้องรับผิดชอบอย่างไร 2.การนำประเด็นนี้ไปอ้างเพื่อยังไม่ปลดล็อกทางการเมืองนั้น ถามว่าควรใช้เหตุการณ์หนึ่งไปสร้างผลกระทบต่อพรรคการเมืองและคนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับเรื่องนั้นหรือไม่ ตรรกะอยู่ตรงไหน

“ถ้าปลดล็อกล่าช้าจะมีผลกระทบ และมีคำถาม 4 เรื่องใหญ่ๆ คือ 1.ทำให้ประชาชนเสียโอกาสร่วมแก้ไขปัญหาของประเทศผ่านกระบวนการของพรรคการเมือง 2.ทำให้พรรคการเมืองยังไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ตามกฎหมายได้ ไม่เป็นผลดีต่อการสร้างความเข้มแข็งให้พรรค 3.เรื่องนี้จะสร้างความขัดแย้งเพิ่มเติมจากความขัดแย้งหลายเรื่องที่มีอยู่ ทำให้กระทบต่อกระบวนการปรองดองโดยไม่จำเป็นหรือไม่ และ 4.ความไม่แน่นอนทางการเมือง เรื่องปลดล็อกจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนใช่หรือไม่” นายนพดลกล่าว

นายวัฒนา เมืองสุข สมาชิก พท. โพสต์เฟซบุ๊ก ในหัวข้อ หนากว่านี้มีอีกมั้ย ว่า ถ้า พล.อ.ประวิตรไม่ตกคณิตศาสตร์ ก็คงหาเรื่องอยู่ในอำนาจต่อ เพราะการไม่ปลดล็อกการเมืองจนกว่าใกล้เลือกตั้งจะทำให้การเลือกตั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามกฎหมายการปลดล็อกจนถึงวันเลือกตั้งเสร็จสิ้นสมบูรณ์ต้องใช้เวลาประมาณ 330 วัน

“วันปลดล็อกการเมืองคือปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการกำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งต้องปลดล็อกทันที ไม่เช่นนั้นจะทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปจนขัดต่อรัฐธรรมนูญ การยืดเวลาปลดล็อกคือการจงใจเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป ซึ่งหากการเลื่อนนั้นเป็นผลให้การเลือกตั้งไม่แล้วเสร็จใน 150 วัน จะทำให้พรรคที่หนุน คสช. ถือโอกาสร้องให้การเลือกตั้งสิ้นผลเพื่อให้ คสช. อยู่ในอำนาจต่อ ดังนั้นการไม่ปลดล็อกคือเจตนาของเผด็จการที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป” นายวัฒนาโพสต์

พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงผลสรุป 4 คำถามแรกของนายกฯ ถึงประชาชนว่า เรื่องคำถามจะนำมาดูว่าอะไรที่ทำได้ก็จะทำ อันไหนที่เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญ เรื่องของกฎหมายก็ว่าไป.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"