ในช่วงชีวิตคนเรามีหลากหลายความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ว่าตนเองไม่มีความพยายาม ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ความรู้สึกอยากได้บางสิ่งบางอย่าง แต่พอได้มาแล้วกลับรักษาไม่ได้ หรือแม้แต่ความต้องการที่จะพิสูจน์ให้คนอื่นมองเห็นบางอย่างในตัวเรา ความรู้สึกเหล่านี้มักเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นที่กำลังมองหาเส้นทางของตนเอง
“ภาพยนตร์ BNK48 : GIRLS DON’T CRY” คือภาพยนตร์สารคดีวัยรุ่น ผลงานกำกับล่าสุดของ เต๋อ นวพล ธํารงรัตนฤทธิ์ โดยการทาบทามจากบริษัท บีเอ็นเค 48 ออฟฟิศ จำกัด และบริษัท แซลมอน เฮ้าส์ จำกัด เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ฉายภาพความรู้สึกทั้งหลายนี้ออกมาอย่างชัดเจน ผ่านกลุ่มเด็กผู้หญิงวัย 13-23 ปี ทั้งหมด 26 คน ซึ่งพวกเธอคือเด็กสาวที่อาจมีความฝัน อาจกำลังคิดหาคำตอบ หรืออาจยังไม่ได้คิดถึงอนาคตเป็นภาพชัดเจนขนาดนั้น แต่จู่ๆ วัยรุ่นกลุ่มนี้ก็ได้รับโอกาสในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงไอดอลนามว่า BNK48
GIRLS DON’T CRY อาจไม่ใช่การเล่าเบื้องลึกเบื้องหลังของวง BNK48 เสมอไป แต่กำลังฉายภาพของเด็กวัยรุ่นที่ไม่เหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่น่าจะอยู่ในวัยแห่งความสนุกสนาน ท้าทาย ทดลอง แต่กลับไม่ใช่เช่นนั้น เรื่องราวของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่วัยรุ่นทั่วไปพบเจอ ผู้กำกับนวพลให้คำนิยามกับภาพยนตร์เรื่องนี้เอาไว้ว่า “ในเส้นทางความฝัน ความพยายามที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะเพียงพอ เพราะบนเส้นทางของความสำเร็จยังมีรายละเอียดที่ไม่คาดคิดรออยู่เช่นกัน”
นายนวพล ธํารงรัตนฤทธิ์ เผยว่า เด็กๆ กลุ่มนี้เป็นวัยรุ่นที่เจอเหตุการณ์มากมายที่ไม่เคยเจอ แต่ละคนมีเรื่องราวของตนเอง และแสดงให้เห็นว่านอกจากเสียใจและดีใจแล้ว น้ำตาวัยรุ่นยังมีความหมายอะไรซ่อนอยู่อีก ใช้เวลาตามติดชีวิตพวกน้องถึง 4-5 เดือน โดยใช้เวลาสัมภาษณ์แต่ละคนนานถึง 2-3 ชม. สัมภาษณ์ครบทุกคน ใช้เวลารวมกว่า 60 ชั่วโมง คอนเซ็ปต์เหมือนให้น้องๆ ได้มองย้อนกลับไป เหมือนได้ทบทวนชีวิตและสถานการณ์ต่างๆ ที่เคยเจอ และต้องมีทั้ง 26 คนอยู่ในหนังทุกคน ไม่ว่าจะมากหรือน้อย แล้วก็ไปถ่ายติดตามการซ้อม การแสดง และฟุตเทจที่ทางบีเอ็นเค 48 ออฟฟิศเก็บไว้ตลอด 1 ปีกว่าๆ ตั้งแต่เปิดออดิชั่นจนถึงวันนี้ เอามาร้อยเรียงและดีไซน์ฉากสัมภาษณ์ที่คับแคบ สะท้อนถึงความกดดันของแต่ละคน ไม่ใช่เรื่องที่เสนอถึงการชิงดีชิงเด่นกัน แต่เป็นมุมที่น้องๆ เขาอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แต่ไม่ใช่การตบตีกัน ในเรื่องทุกคนสำคัญเท่ากัน
“การได้สัมภาษณ์ทำหนังกับบีเอ็นเค ทำให้รู้ว่าสิ่งที่รู้จากสื่อเป็นเพียงแค่ด้านบน แต่แท้จริงแล้วมีด้านล่างอีกมากที่เราไม่รู้ ผมไม่ได้คิดไปก่อนเลยว่าเรื่องของพวกเขาจะเป็นอย่างไร จะสนุก ตลก หรือดรามา ที่อยู่ในหนังก็คือสิ่งที่ไม่รู้มาก่อนทั้งนั้น ข้อความบางอย่างที่ได้จากการสัมภาษณ์น้องๆ เหมือนเขาอยากจะคุยกับใครสักคน แต่ไม่รู้จะคุยกับใคร เป็นความรู้สึกข้างใน บางคนอาจจะรู้สึกกับเรื่องความพยายามเยอะ บางคนอาจจะรู้สึกน้อย แต่ไปรู้สึกกับเรื่องความสัมพันธ์ในวง ก็จะแตกต่างกันไป” นวพลกล่าว
สำหรับเนื้อหาของภาพยนตร์ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มเด็กผู้หญิงกลุ่มนี้ คือวัยรุ่นที่ต้องกลายเป็นศิลปินยอดนิยมอย่างรวดเร็ว และผ่านการทุ่มเททุกอย่างให้กับความฝันในการเป็นไอดอล โดยจุดขายคือคัดสมาชิกวงจากเด็กสาวที่มีศักยภาพพัฒนาตนเองได้อีกมาก หรือหากพูดอีกแบบหนึ่งก็คือ ยังไม่ใช่ไอดอลที่สมบูรณ์แบบมากนัก อาจจะยังร้อง ยังเต้นไม่ได้ดีมาก จึงต้องเอามาฝึกอย่างเข้มข้น ให้เห็นพัฒนาการ อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นในภาพยนตร์คือ วัยรุ่นกลุ่มนี้ต้องเข้ามาเป็นโมเดลธุรกิจที่มีการออกแบบให้เกิดการแข่งขัน และสร้างชนชั้นขึ้นภายในกลุ่ม เพื่อเป้าหมายในการบังคับให้พวกเขาแต่ละคนต้องพัฒนาตนเองให้เร็ว เพื่อเป็นขวัญใจมหาชน ในภาพยนตร์ได้นำเสนอภาพจริง และความรู้สึกจริงๆ ของแต่ละคนที่อยู่เบื้องหลังฉาบหน้าที่สดใส ขณะเดียวกันพวกเขาก็คือคนธรรมดา ใช้ชีวิตธรรมดา
เฌอปราง-อารีย์กุล ปัญสิกรณ์ BNK48 กล่าวว่า การเข้ามาสู่บีเอ็นเคมาจากความชอบญี่ปุ่น ไม่ต่างจากคนทั่วไปที่มีคนที่ชื่นชอบแล้วอยากเดินตามรอย ซึ่งเมื่อมีโอกาสก็ต้องรีบคว้า และใช้ความพยายามในการฟันฝ่าแต่ละด่าน ในหนังเรื่องนี้ช่างแตกต่างจากเพลงและการแสดงที่สดใสบนเวทีต่อหน้าสาธารณชน เวลาร้องเพลงจะต้องส่งรอยยิ้มออกมา แต่แท้จริงแล้ว บางครั้งก็มีอะไรลึกๆ ซ่อนอยู่ เหมือนกับคนอื่นๆ ที่กว่าเขาจะก้าวเข้ามาอยู่ในจุดที่คนสนใจได้ เขาต้องผ่านเรื่องราวมามาก พวกเราก็เช่นกัน เรื่องราวจะถูกสื่อผ่านในหนังเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีความเครียดในหนัง ทั้งความยากลำบาก น้ำตา และความพยายามอยู่มาก
"ในการต่อสู้ของแต่ละคนมีเหมือนกัน แต่วันใดที่ท้อจะมีสิ่งที่คอยย้ำกับเราต่างกัน เช่น สำหรับเรามีเรื่องหนึ่งตอนเด็กกว่านี้ เคยปั่นจักรยานขึ้นเขาแล้วล้ม นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว แต่ร้องไปก็ไม่มีใครได้ยิน ต้องลุกขึ้นมาเองแล้วกลับบ้าน ฉะนั้นในความฝันของเราก็ไม่ต่างจากเหตุการณ์ดังกล่าว" เฌอปรางเล่า
ขณะที่บางช่วงของภาพยนตร์ บทสัมภาษณ์ของปูเป้ จินดาภา อินทจักร สมาชิก BNK48 เล่าว่า ถ้าวันนี้ยังไม่ได้เป็นบีเอ็นเค ก็คงเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตเรื่อยๆ เรียนหนังสือ ทำการบ้าน นอน เที่ยว แต่พอมาเป็นบีเอ็นเค รู้สึกว่าต้องมีความพยายาม กระตือรือร้นมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้น อีกทั้งคอนเซ็ปต์ของวงคือการคัดเลือก 16 คน ในการออกซิงเกิลแต่ละครั้ง ฉะนั้นจึงต้องต่อสู้เพื่อให้ชื่อตนติด 1 ใน 16 และยังรวมถึงการสร้างตัวตนให้คนเห็น ในกลุ่มจะมีคนที่ดังมาก ดังน้อย ก็ต้องพยายามมากขึ้น หรือแม้แต่การสร้างความสนใจกับคนทั่วไปด้วย อย่างเช่นในโซเชียล โดยสร้างภาพลักษณ์ที่สดใส หรือสร้างภาพลักษณ์ตามที่คนดูชอบ แต่บางครั้งก็เกิดความสับสนในตนเอง ว่าควรจะมีภาพลักษณ์แบบใดที่ทำให้คนอื่นถูกใจ แต่สุดท้ายแล้วการเป็นตนเองนั้นดีที่สุด ไม่ต้องพยายามเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา
ทั้งนี้ ผู้กำกับเต๋อ นวพล ยังกล่าวอีกว่า เรื่องนี้สามารถชมได้ทุกคน ไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มแฟนคลับ แต่คิดว่าคนที่มาชมจะได้อะไรกลับไปไม่พาร์ตใดก็พาร์ตหนึ่งของหนังแน่นอน
อย่างไรก็ตาม GIRLS DON’T CRY อาจไม่ใช่หนังสนุกสนาน ดรามา และก็ไม่ใช่หนังที่เล่าเรื่อง BNK48 ไปเสียทั้งหมด แต่เนื้อหาของหนังกำลังฉายภาพของกลุ่มเด็กวัยรุ่น ที่ต้องมีความพยายามมากกว่าคนอื่น มากกว่าเรียนหนังสือ หรือบางคนต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อเดินทางตามฝัน เรื่องราวของการต่อสู้ ความพยายาม การรักษาสิ่งที่ได้มาอาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่มีความอดทนกับสิ่งที่ทำ เป็นตัวเองให้มากที่สุด และอาจจะสร้างแรงกระเพื่อมให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาทำตามฝันก็ได้
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |