'ใต้' กับอนาคตเส้นทาง 'ใหม่'


เพิ่มเพื่อน    

      ไปตะลอน ๓ จังหวัดใต้ มา ๔ วัน สนุกดี

      หะแรก.......

      คุณมกร์ รุ่งกมล กับคุณสันต์ สะตอแมน โทษฐานที่มีรถและขับรถเป็น

      วางแผนขับรถล่องไปเรื่อยๆ จากกรุงเทพฯ

      ไปกันแบบพ่อนกขมิ้น ค่ำไหน นอนนั่น จุดหมายปลายปีก ที่เบตง ยะลา

      แต่เจตนาหลักอยู่ที่ "หลวงพ่อทวด" วัดช้างให้ ปัตตานี

      คือปีหนึ่ง ผมกับพวก ต้องไปกราบและจุดประทัดถวายท่านครั้งหนึ่ง

      แต่ปีนี้ อยากไปแบบติ๊กๆ ขับรถตะลอนไปกันเอง

      พอจะไปจริงๆ ฝนตกมั่ง-น้ำท่วมมั่ง นกขมิ้นกลัวน้ำ เลยเปลี่ยนเป็นนั่งเรือบิน ไปตั้งหลักที่หาดใหญ่

      หาดใหญ่เป็น "เทศบาลนคร" ใหญ่อันดับ ๓ ของประเทศ แต่ไปเห็นแล้ว........

      ที่โอดโอยกันว่า "คนหาย-การค้าหด" ไม่แปลกใจเลย!

      สกปรกก็ปานนั้น ไร้ระเบียบ เลอะเทอะก็ปานนั้น มองไปทางไหน เห็นแต่ป้ายผ้าแขวนระโยงระยางตามหน้าร้านค้าพรึ่ดทั้งถนน

      ถนนใช้ ๓ ประเภท ให้รถวิ่งตามใจชอบ ให้จอดรถตามใจชอบ กับให้คนลงไปเดินด้วยจำใจ

      ส่วนฟุตปาธ ยกให้พ่อค้าแม่ขายตั้งแผงทำเป็นตลาดตามใจชอบ ขึงผ้าใบคลุมโปงทั้งถนน

      ๓๐-๔๐ ปีก่อน หาดใหญ่ฟู่ฟ่า เปรียบกันว่าหาดใหญ่คือ "กรุงเทพฯ" ของภาคใต้

      วัน-เวลาผ่านไป ถึงวันนี้ ทุกอย่าง พัฒนาไปตามยุคสมัย

      แต่หาดใหญ่ เหมือน "นาฬิกาตาย"!

      ยิ่งหมดสมัยต้องไปช็อปสินค้าเทียมที่หาดใหญ่ และคนบ้านใกล้-เรือนเคียง ก็ไม่เข้ามาจับจ่ายสินค้ากามาสดเหมือนก่อน

      ซ้ำเมืองไม่มีการพัฒนาเป็นระบบ ธุรกิจและสินค้าก็ไม่มีการปรับตัวรองรับสังคมที่เปลี่ยนแต่ละยุค

      เอะอะโทษรัฐบาล โทษเศรษฐกิจไม่ดี มุ่งแต่สาวได้-สาวเอาเฉพาะตัว โดยไม่คิดที่จะโทษตัวเองกันบ้าง

      หาดใหญ่ จึงเป็นดังวันนี้......

      ถ้าผู้บริหารเมือง และคนค้าขาย ยังไม่ปรับตัวเอง หวังแต่จะรวยแบบเก่าๆ

      หาดใหญ่ ก็คงจะเหลือแต่อดีตเก่าๆ!?

      ยิ่งอีก ๒ ปี สนามบิน "เบตง" เปิดใช้ ตามแผนพัฒนา ๓ จังหวัดใต้ "ยะลา-นราธิวาส-ปัตตานี" ที่ตอนนี้กำลังเร่งสร้าง

      คนจะเปลี่ยนเข็มจากหาดใหญ่ ไปเบตงกันมากขึ้น

      เพราะเบตง เป็นเมืองคงวัฒนธรรมถิ่น อาหารการกินพูดถึงกันหลายอย่าง มีแต่คนอยากไปสัมผัส

      เพียงแต่เส้นทางเข้าตัวเบตง ค่อนข้างมากสัมมาคารวะ คือ โค้งตลอด ชวนอ้วกไปหน่อยเท่านั้น!

      สนามบินเสร็จ คงแห่กันไปตรึม

      หาดใหญ่ก็จะไม่ใช่ศูนย์กลางคมนาคมเหมือนเดิมแล้ว

      โดยเฉพาะลูกค้า "ขาประจำ" จากมาเลย์-สิงคโปร์ ซึ่งตอนนี้ก็กะหร็อมกะแหร็ม   

      เมื่อมี "ทางเลือก" ใหม่ ส่วนหนึ่งก็จะแห่ไปลองของใหม่กันที่เบตง!

      พินิจหาดใหญ่ที่คลายเสน่ห์แล้ว ก็จ้างรถตู้มุ่งหน้าไปเบตง แต่เพื่อความเสียวทุกระดับประทับใจ ลงความเห็นกันว่า

      ลองไปเส้นทางใหม่ๆ บ้างดีกว่า!

      คือตีรถจากหาดใหญ่ ไปเข้ามาเลย์ แล้วจากมาเลย์ ไปตีเข้าเบตงทางประตูหลัง น่าจะสนุก

      ออกทางด่านสะเดา เคยอยู่แล้ว ไปทางไม่เคยดีกว่า มุ่งหน้าไปทางนาทวี ออกด่าน "บ้านประกอบ" เข้ารัฐเกดะห์

      ไปออกที่ด่านเมืองบาลิง........

      จากด่านบาลิงฝั่งมาเลย์ เข้าเบตงฝั่งไทย รวมระยะทางจากหาดใหญ่ เข้ามาเลย์ ออกเบตง ๒๕๐  กิโล เห็นจะได้

      ก็พอๆ จาก "หาดใหญ่ไปเบตง"

      จะว่าไปแล้ว ทางบ้านเรา สะดวกกว่า-เสียวกว่า ไปอ้อมเข้าจากทางฝั่งมาเลย์ด้วยซ้ำ!

      นี่เป็นรายงานตัวคร่าวๆ ว่าที่หายไป ผมหายไปไหน?

      ส่วนเบตง ไปตามเส้นทางยะลา-ปัตตานี อย่างที่เราได้ยินข่าว เดี๋ยวระเบิด เดี๋ยวปะทะ เดี๋ยวซุ่มยิง นั้น

      จริงๆ แล้ว มันน่ากลัวหรือน่าเที่ยวกันแน่ แล้วค่อยคุยกันวันหลัง

      ส่วนวันนี้ ไปนินทา "นายกฯ ประยุทธ์" ที่ลงไปจังหวัดระนองกันดีกว่า (๒๐ ส.ค.)

      นายกฯ นี่ ตอนเป็นทหาร คงรู้จักประเทศไทยตามแผนที่ทหาร

      แต่พอมาบริหารราชการงานเมืองในตำแหน่งนายกฯ ดูท่านรู้จักประเทศไทยตามแผนที่หัวใจ และเข้าใจประชาชน ในวิถีชาวบ้านมากขึ้น

      ดูท่าจะ "เสพติด" ชาวบ้านซะด้วย!

      อยู่ในหมู่ชาวบ้าน เหมือนปลาได้น้ำ ร่าเริง พูดเก่ง คุยเก่ง ไปได้ทุกเรื่อง

      ระบบทหารสอนให้ประชาชนอยู่ในหัวใจ

      แต่พอมาเป็นนักการเมือง ลมหายใจทหารชื่อพลเอกประยุทธ์ วันนี้ มีแต่ชีวิต-ความเป็นอยู่ประชาชน

      ทั้งหายใจเข้าและหายใจออก!

      การที่ท่านพูดกับพี่น้องชาวระนองเมื่อวาน ในประโยคว่า....

      "ผมไม่เข้าใจว่าทำไมที่นี่ (ระนอง) มีทรัพยากรมากมาย แต่ไม่มีการพัฒนา รัฐบาลต้องเข้ามาพัฒนา...."

        ตรงนี้ เห็นความต่าง "นักการเมือง" กับ "นักสร้างเมือง" ได้ชัดเจน

      นักการเมือง ไปที่ไหน มองประชาชน หาจุดแปลงเป็นคะแนนให้ตัวเอง

      ส่วนนักสร้างเมือง ไปที่ไหน มองบ้านเมือง หาจุดพัฒนาสร้างเจริญให้ประชาชน

      ระนอง นั้น อาภัพนัก ด้วยถูกทำให้เป็นเมืองปิด!

      แต่เป็นอย่างที่นายกฯ ว่า ธรรมชาติมอบทรัพยากรให้ที่ระนองมากมาย

      ทั้งการประมง-การเกษตร-การท่องเที่ยว รวมทั้งแร่ธาตุ โดยเฉพาะบ่อน้ำพุร้อน

      ที่สำคัญ ภูมิศาสตร์พื้นที่ตั้ง อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ทั้งด้านมั่นคงและด้านเศรษฐกิจเชื่อม ๒ มหาสมุทร

      จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวควบ ๒ อ่าว "ชุมพร-กระบี่-พังงา-ตรัง-พัทลุง"

      ก็มี "จุดแข็ง-จุดขาย" พร้อม!

      แต่นักการเมือง "ศตวรรษ" นี้ ล้วนมองข้าม ซึ่งตรงข้ามกับบรรพบุรุษเรา

      ก่อนหน้านี้ สัก ๒๐๐-๓๐๐ ปี ตรง "ระนอง" นี้.........

      ด้วยวิสัยทัศน์ "สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้า" จะทรงทำเป็นท่าเรือสินค้าระหว่างประเทศ แทนท่าเรือที่เมืองมะริดและทวายมาแล้ว

      ในยุคหนึ่ง-สมัยหนึ่ง............

      ถ้าทำ "คลองกะ" ตรงที่เป็นคอคอดเชื่อมอันดามันกับอ่าวไทยเข้าด้วยกันสำเร็จตามแผน

      ป่านนี้ "สิงคโปร์" คงขายแต่ลอดช่อง........

      จะไม่ใช่ศูนย์กลางขนส่งทางทะเลในภูมิภาค ไม่ใช่ศูนย์กลางธุรกิจการค้า-การเงิน อย่างทุกวันนี้

      ด้วยไม่มีอะไรเป็นพลังดึงดูดให้บริษัทการค้า-การขนส่ง-การผลิตรายใหญ่ของโลก ต้องแห่มาตั้งบริษัท

      รายรอบ "ช่องแคบมะละกา"

      ในความเป็นท่าเรือขนส่งทางทะเลนานาชาติ ที่เรือสินค้า เรือน้ำมัน กระทั่งเรือรบ

      ต้องลอด "ช่องแคบมะละกา" ไป-มาระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย

      สิงคโปร์ เป็นติ่งอยู่ปากช่องแคบ เลยบุญหล่นทับตีน ด้วยภูมิศาสตร์ทางทะเล เป็นท่าเรือศูนย์กลางขนส่งสินค้านานาชาติ

      แต่ถึงยุคนี้-วันนี้...........

      การขุดคอคอดกระ "ไม่คุ้ม-ไม่จำเป็น" และไม่มีเหตุผลให้บริษัทเดินเรือทั้งหลาย ต้องย้ายศูนย์ จากสิงคโปร์มาตั้งที่ไทย

      อย่างตอนนี้ พวกอาจารย์ พวกอดีตนายทหาร-นายตำรวจ กลุ่มหนึ่ง น่าจะเมา "เหมาไถ" หนักไปหน่อย

      สร้างกระแสจะขุด "คลองไทย" แนว 9 A ครอบคลุมพื้นที่ ๕ จังหวัด

      กระบี่, ตรัง, นครศรีธรรมราช, พัทลุง, สงขลา

      ไปออกทะเลที่ทะเลสาบสงขลา อําเภอระโนด ระยะทาง ๑๓๕ กิโลเมตร กว้าง ๔๐๐ เมตร ลึก ๓๐  เมตร

      ตามแผน ดินที่ขุด จะเอาถมเป็นเกาะเหนือ-เกาะใต้ตรง ๒ ฝั่งปากคลอง

      ทำท่าเรือน้ำลึก ทำนิคมอุตสาหกรรม ทำสนามกอล์ฟ ทำสะพานแขวน ๔ สะพาน เชื่อมสองฝั่งคลอง

      และยังจะขุดอุโมงค์ลอดคลองอีก ๕ อุโมงค์ด้วย!

      หยุดเถอะ อายุมากกันแล้ว ดื่มเหมาไถเมาเลอะเลือนแบบนี้ จะพลอยให้ชาวบ้านหลงเมาตามไปด้วย

      เรื่องคลองไทยนี่ วันหลังจะ "ลอกคลอง" ให้ดู เอาที่หลับตาเห็นชัดๆ

      ถ้าขุดคลองไทย จะได้ค่าเรือผ่านปีละสูงสุด ตีให้ ๒ แสนล้าน

      แต่การท่องเที่ยว การเกษตร การประมงภาคใต้ ฉิบหายปีละกว่าล้านล้านบาทตลอดกาล

      ด้วยภูมิศาสตร์และระบบนิเวศน์ที่เปลี่ยนไป จะทำลายวิถีชีวิตคนภาคใต้และประเทศไทยที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้อีก

      อย่างที่รองนายกฯ "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" พูดวันก่อน นั่นแหละ สอดคล้องกับความเป็นจริงปัจจุบันและอนาคตแล้ว

      ทำรถไฟทางคู่ "ชุมพร-ระนอง" เชื่อมอ่าวไทยกับอันดามัน สร้าง "ท่าเรือที่ระนอง"

      เป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ ขนสินค้าระหว่างอ่าวไทย-อันดามัน

      นี่แหละเหมาะที่สุด เป็นไปตามวิสัยทัศน์ "สมเด็จพระนารายณ์มหาราช" ที่สุด

      สิ่งที่รัฐบาลมุ่งสร้างเส้นทางอนาคต ต้องเข้าใจไว้อย่างหนึ่ง คือ........

      เมืองไทยนั้น ไม่ทำอะไรเลย ก็ถูกด่า ครั้นลงมือทำ ก็ถูกด่า

      ฉะนั้น "ทำใจ" ซะเถอะ.......

      "ถูกด่าเพื่อชาติ" นั่นน่ะ!


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"