“สุเทพ” ย้ำอนุมัติก่อสร้างโรงพักตามขั้นตอน ลาก “พงศพัศ-3 อดีต ผบ.ตร.” ร่วมลงน้ำ ยันจันทร์นี้ไปพบ ป.ป.ช.แน่ ชี้หากไม่มีอคติจบไปนานแล้ว รอลุ้นมีหลักฐานใหม่หรือไม่

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย และ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก ชี้แจงถึงการสร้างแฟลตตำรวจ 163 แห่ง และโรงพักทดแทน 396 แห่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แต่ก่อสร้างไม่สำเร็จตามสัญญา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้กล่าวว่ามีความผิดในฐานะผู้อนุมัติการทำสัญญา ว่าที่อนุมัติไป อนุมัติตามที่ สตช.เสนอ และไม่ใช่ว่าเสนออะไรมาแล้วจะอนุมัติตามหมด แต่เขาเสนอมามีเหตุมีผล มีหลักฐาน มีขั้นตอนการปฏิบัติชัดเจน  
“เมื่อผมอนุมัติวิธีการจัดจ้างตามที่ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร.เสนอ เมื่อวันที่ 20 พ.ย.2552 สตช.เขาก็ไปดำเนินการตามขั้นตอนโดยชอบด้วยระเบียบกฎหมาย เขาแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคากลาง และคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงาน (ทีโออาร์) มีคำสั่งวันที่ 7 เม.ย.2533 มีคณะกรรมการมากมาย เขาก็ไปทำงานกันเป็นขั้นเป็นตอนตามหนังสือของกระทรวงการคลัง ตามระเบียบของสำนักนายกฯ ว่าด้วยการพัสดุ รวมทั้งตามหนังสือของกรมบัญชีกลาง ลงวันที่ 17 ก.พ.2549 และวันที่ 21 ก.ค.2549 คือทำตามขั้นตอนสมัย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. ซึ่ง พล.ต.อ.ปทีปเขาก็ทำแบบนี้” 
นายสุเทพกล่าวต่อว่า พอตั้งคณะกรรมการกำหนดราคากลาง กำหนดทีโออาร์เสร็จ ก็ไปประกวดราคา  โดยให้ยื่นซองวันที่ 20 ก.ค.2553 แล้วนัดมาทำการเสนอราคาแข่งขันกันโดยวิธีอี-ออคชัน ในวันที่ 29 ก.ค.2553 บริษัทที่ทำหน้าที่คุมเกมคือบริษัท สวนกุหลาบเซอรารี่ ซิลล์ จำกัด ได้ทำรายงานสรุปผลการประมูลทางอี-ออคชั่น ถึงประธานคณะกรรมการดำเนินการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีผู้มีสิทธิเข้าประมูล 5 รายเคาะราคาแข่งขันกัน ซึ่งมีเอกสารหลักฐานคือ เขาเคาะประมูลแข่งขันกันภายในครึ่งชั่วโมง 73 ครั้ง จากราคาที่เสนอในครั้งแรกกว่า 6,000 ล้านบาท ในที่สุดผู้เสนอราคาต่ำที่สุดคือกว่า 5,000 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 540 ล้านบาท 
“เขาเสนอมายัง สตช.แล้ว สตช.โดย พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. ลงวันที่ 11 ส.ค.2553 พอประมูลเสร็จ เขาก็ทำหนังสือผ่าน พล.ต.ท.พงศพัศ ว่าคณะกรรมการฯ ได้ดำเนินการตามระเบียบทุกอย่างแล้ว จึงขอให้ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ขอทำความตกลงเรื่องวงเงินงบประมาณก่อสร้าง 5,848 ล้านบาท พล.ต.ท.พงศ์พัศลงนามแล้ว แล้วมาเจื้อยแจ้วว่าไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เกี่ยวข้องตอนลงนามไปเมื่อรู้ว่าเขาทำผิด หรือว่ารู้แล้วก็ทำเฉยหรือว่าไม่เห็นด้วย ทำไมไม่พูดมีหน้าที่อยู่แล้ว เวลามาหาเสียงก็ใส่ผม เต็มที่เลย แถมให้พรรคเพื่อไทยไปฟ้อง ป.ป.ช.ซะด้วย”นายสุเทพกล่าว
อดีตรองนายกฯ ยังกล่าวว่า สตช.ได้ทำหนังสือถึงสำนักงบประมาณวันที่ 11 ส.ค. เพื่อขออนุมัติจัดสรรงบประมาณ เมื่อผ่านขั้นตอนมาอย่างนี้ สำนักงบฯ ก็ทำหนังสือตอบมาว่าเห็นชอบในวงเงินดังกล่าว ด้าน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี  ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งเป็นคนที่ 3 นับจาก พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.อ.ปทีป ก็ทำหนังสือถึงตนเองเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2553 ขอรับความเห็นชอบราคา ขออนุมัติ จ้างก่อสร้าง บรรยายมาเสร็จ เรื่องเดิมเป็นอย่างไร ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างไร พร้อมเขียนไว้เลยว่า หากหัวหน้าหน่วยงานเห็นชอบให้แจ้งคณะกรรมการพิจารณาภายใน 3 วัน หากไม่เห็นชอบให้แจ้งเหตุผลชี้แจงให้กรรมการทราบภายใน 3 วันเช่นกัน และถ้าเห็นชอบ ก็ให้ขออนุมัติจัดจ้าง
นายสุเทพกล่าวอีกว่า พล.ต.อ.วิเชียรก็อ้างระเบียบสำนักนายกฯ ว่าตนมีอำนาจให้ความเห็นชอบในราคาที่เขาประมูลได้ และอนุญาตให้จัดจ้างได้ โดยมีข้อพิจารณาว่า สตช.พิจารณาแล้วเห็นว่าคณะกรรมการประกวดราคาได้ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการพัสดุฯ และระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว ผลการประกวดราคาปรากฏว่าบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด เป็นเงิน 5,848 ล้านบาท ไม่เกินราคากลาง และสำนักงบประมาณได้ให้ความเห็นชอบวงเงินค่าก่อสร้างแล้ว จึงควรให้ดำเนินการ ดังนี้ 1.ให้ความเห็นชอบราคาค่าก่อสร้าง และ 2.อนุมัติจ้างบริษัท พีซีซีฯ ซึ่งก็เห็นของตามที่เสนอ 
“ผมส่งเป็นหลักฐานเย็บเป็นเล่มมีครบเลย ถ้าอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช.ไม่มีอคติ มีความเป็นธรรม ดูเอกสาร ดูหลักฐานเหล่านี้ เรื่องนี้ยุติไปแล้ว แต่วันนี้ยังไม่ยุติ จึงจำเป็นต้องออกมาเปิดเผย ผมจะเปิดรายละเอียดต่อไปอีกว่าในข้อกล่าวหาหลักที่เขากล่าวหานี้ยังมีข้อกล่าวอ้างย่อยๆ อีก 9 ข้อ ก็จะทยอยนำมาบอก แล้วให้ประชาชนตัดสิน รวมทั้งคิดว่าจะพิมพ์หนังสือเล่มที่ชี้แจงต่อ ป.ป.ช.จำหน่าย แล้วเอาเงินบริจาคให้พรรครวมพลังประชาชาติไทย” นายสุเทพกล่าว และว่า ใวันจันทร์ที่ 20 ส.ค.นี้ จะไปชี้แจงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ และจะกลับมารายงานต่อประชาชนว่า เมื่อชี้แจงแล้วเขาฟังเหตุฟังผลไหม หรือเขามีหลักฐานที่พิเศษที่ไม่เคยทราบไม่เคยเห็นมาก่อน ก็จะนำมาบอกตรงไปตรงมา.