ปฏิรูปศาสนา...จุดเริ่มต้นของทุกการปฏิรูป


เพิ่มเพื่อน    

(1)

        เทศน์ ติดต่อกันมาครบโหล...12 ตอน ว่าด้วยเรื่อง การออกจากวัตถุนิยม เฉลี่ยอาทิตย์ละตอนๆ ตกเวลาร่วม 3 เดือน ต้องเรียกว่า...เล่นเอาเหนื่อยกันไปมิใช่น้อย ไม่ว่าคนเทศน์หรือคนฟัง (อ่าน) แต่เหตุที่ต้องออกเรี่ยว ออกแรง เช่นนี้ ก็เพราะเรื่องของ ธรรมะ หรือเรื่อง ศาสนา นั้น ถือเป็นสิ่งสำคัญเอามากๆ ถือเป็น ยาสารพัดโรค ที่สามารถนำไปดม-หยอด-สอด-เสียบ แก้ปัญหาทุกๆ ปัญหาได้เสมอๆ ไม่ว่าการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคมก็ตาม...

(2)

        และอาจด้วยเหตุนี้...ที่ทำให้เมื่อครั้งเริ่มฟื้นฟูบ้านเมือง กอบกู้ความเป็นประเทศ ความเป็น ราชอาณาจักรไทย ขึ้นมาใหม่ๆ หลังจากต้องเสียกรุง สูญเสียเอกราช ให้กับต่างบ้าน ต่างเมือง ให้กับเพื่อนบ้านอย่างประเทศพม่า เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตกเป็นครั้งที่สอง ผู้นำพาชาติบ้านเมืองในแต่ละราย ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่พระเจ้าตากสิน พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1-2-3-4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านจึงหันมาให้ความสำคัญกับเรื่อง ศาสนา มิใช่น้อย จนอาจถือเป็น การปฏิรูปศาสนา อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการเอาเลยก็ว่าได้...

(3)

        ใครที่เคยได้อ่านหนังสือพ็อกเกตบุ๊กเล่มหนาๆ ของศาสตราจารย์ ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่อง ปากไก่และใบเรือ ที่สำนักพิมพ์อมรินทร์พริ้นติ้ง ยุคที่คุณ ชูเกียรติ อุทกพันธุ์ ยังมีชีวิตอยู่ เป็นผู้จัดทำ จัดพิมพ์ ติดต่อกันมาถึง 2 ครั้ง ก็คงพอมองเห็นภาพของความมุ่งมั่น ทุ่มเท ทุ่มทุน ของบรรดาอดีตพระมหากษัตริย์แต่ละองค์ ที่มีต่อกระบวนการปฏิรูปศาสนาที่ว่าขึ้นมาได้บ้าง แม้ว่าผู้เขียนพ็อกเกตบุ๊กเล่มนี้ อาจไม่ได้ถึงกับคิดเน้นหนักในเรื่องราวเหล่านี้อย่างเป็นการเฉพาะ หรือจะมีจุดมุ่งหมายไปแนวไหนก็ตาม แต่โดยข้อเขียนบางช่วง บางตอน อย่างเช่นบทความในลำดับสุดท้าย เรื่อง พระปฐมสมโพธิกถากับความเคลื่อนไหวทางศาสนาในต้นรัตนโกสินทร์ นั้น สามารถใช้เป็นหลักฐาน ข้อพิสูจน์ ยืนยันได้เป็นอย่างดี ว่าความพยายามกอบกู้ ฟื้นฟูบ้านเมือง กับกระบวนการ ปฏิรูปศาสนา นั้น แทบจะดำเนินควบคู่กันไปเอาเลยก็ว่าได้...

(4)

        และจากผลพวงของการหันมาให้ความสำคัญกับ ศาสนา หรือการปฏิรูปศาสนานั้น...น่าจะมีส่วนเกี่ยวโยง ผูกพัน ไปถึงกระบวนการปฏิรูปในลักษณะอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมาย นับจากยุคสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ทำให้ความเคลื่อนไหวในด้านแนวคิด กลุ่มก้อน ของผู้คนที่ถูกเรียกขานกันในนาม สยามใหม่ หรือ สยามหนุ่ม นั้น ไม่เพียงแต่ไม่เกิดอาการ สุดโต่ง ไปในด้านหนึ่ง ด้านใด สามารถเชื่อมต่อระหว่าง สิ่งเก่า กับ สิ่งใหม่ ได้อย่างลงตัว ลงล็อก ยังเป็นแนวคิดที่มีธรรมะ มีคุณธรรม ศีลธรรม เป็นพื้นฐานรองรับและกำกับเอาไว้ด้วย ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปในรูปไหน แบบไหน ก็ตามที...

(5)

        สำหรับโลกยุคใหม่ สังคมสมัยใหม่ ในทุกวันนี้...ก็คงหนีไม่พ้นต้องอาศัยเรื่องของ ศาสนา หรือ ธรรมะ อีกนั่นแหละ เป็นจุดเริ่มต้นในแทบทุกเรื่อง ทุกกรณี และการที่ได้เกิดความเคลื่อนไหวในการ ปฏิรูปพระ ขึ้นมาแบบพอดิบ พอดี ก็ต้องถือเป็น นิมิตหมาย ที่น่าปลาบปลื้ม ยินดี เป็นอย่างยิ่ง ส่วนจะเป็นไปในแบบไหน แนวไหน คงต้องไปว่ากันอีกที แต่การหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องราวเหล่านี้ แบบจริงๆ จังๆ มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ก็น่าจะช่วยให้อนาคตของชาติบ้านเมือง ของราชอาณาจักรไทย ไม่ถึงกับต้องหม่นหมองมากมายเกินไปนัก...

(6)

        อย่างที่อภิมหาพระ ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านเคยย้ำแล้ว ย้ำอีก เอาไว้นั่นแหละว่า...ศีลธรรมไม่กลับมา-โลกาจะวินาศ การหาทางทำให้สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ กลับคืนมาสู่สังคมได้บ้าง ไม่ว่าในแง่การประพฤติ ปฏิบัติ หรือแม้แต่ในแง่แนวคิด จิตใจ มากหรือน้อยก็แล้วแต่ ย่อมต้องถือเป็นการกอบกู้ ฟื้นฟู สังคมนั้นๆ หรือช่วยไม่ให้สังคมนั้นๆ ต้องวินาศ วอดวาย ลงไปก่อนกำหนด ด้วยเหตุนี้...ก็เลยหนีไม่พ้นต้องสวมชุดฆราวาส โดดขึ้นธรรมาสน์ เทศน์มาจนครบโหลแบบพอดิบ พอดี ส่วนอาทิตย์หน้าค่อยลองเปลี่ยนบรรยากาศไปว่ากันเรื่องอื่นๆ ต่อไป...


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"