ศูนย์การศึกษาการค้าระหว่างประเทศประเมินสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน พบจะทำให้มูลค่าส่งออกไทยในช่วงครึ่งปีหลังหายไปตั้งแต่ 351-2,881 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 0.14-1.13% และทำจีดีพีหด 0.12-1.02% แต่ยังมั่นใจทั้งปี จะเติบโตได้ถึง 8.1% เหตุเศรษฐกิจโลกโต บาทอ่อนช่วยหนุน พร้อมคาดหากสหรัฐฯ ขึ้นภาษียานยนต์และชิ้นส่วน จะทำให้ส่งออกปีหน้าลด 1-2%
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์ฯ ได้ทำการวิเคราะห์ที่มีผลกระทบต่อการส่งออกไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 จากการทำสงครามการค้า โดยพบว่าจะทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยลดลง 351 ล้านเหรียญสหรัฐถึง 2,881 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดลง 0.14-1.13% และกระทบต่ออัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ลดลง 0.12-1.02%
ทั้งนี้ ผลการวิเคราะห์ได้แบ่งออกเป็น 3 กรณี คือ กรณีที่ 1 หากสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยเก็บเพิ่มอัตรา 25% และเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหภาพยุโรป (อียู) เพิ่ม 20% ซึ่งจีนและอียูตอบโต้สหรัฐฯ จะทำให้มูลค่าการส่งออกไทยลดลง 351 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดลง 0.14% และจีดีพีลด 0.12%
กรณีที่ 2 หากสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในอัตรา 25% และเก็บภาษีนำเข้าจากอียูมูลค่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในอัตรา 10% ซึ่งจีนและอียูตอบโต้สหรัฐฯ จะทำให้มูลค่าการส่งออกไทยลดลง 597 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดลง 0.23% และจีดีพีลด 0.21%
กรณี 3 ซึ่งเป็นกรณีเลวร้ายสุดและมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นน้อยสุด คือ สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม 25% กับทุกประเทศและประเทศต่างๆ ตอบโต้ จะทำให้มูลค่าการส่งออกไทยลดลง 2,881 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดลง 1.13% และจีดีพีลด 1.02%
“ทั้ง 3 กรณี คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ โดยมีความเป็นไปได้ในกรณีที่ 1 กับกรณีที่ 2 ส่วนกรณีสุดท้ายน่าจะเกิดขึ้นได้ยากสุด เพราะสหรัฐฯ พุ่งเป้าที่จะแก้ปัญหาทางการค้ากับจีนเป็นหลัก ซึ่งการส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบ เพราะมีสินค้าที่ส่งออกเป็นซัปพลายเชนให้กับจีน”นายอัทธ์กล่าว
นายอัทธ์กล่าวว่า ศูนย์ฯ ยังได้ติดตามกรณีที่สหรัฐฯ จะใช้มาตรการทางภาษีกับสินค้ารถยนต์และชิ้นส่วน ที่อาจมีผลบังคับใช้ในปี 2562 ซึ่งจะส่งผลกระทบไปทั่วโลก เพราะสินค้ายานยนต์เป็นกลุ่มการส่งออกใหญ่ที่มีซัปพลายเชนไปทั่วโลก โดยประเมินเบื้องต้น หากสหรัฐฯ ใช้มาตรการขึ้นภาษีสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนจริง จะกระทบทำให้การส่งออกไทยลดลงประมาณ 1-2% และยังกระทบต่อไปถึงค่าเงินของแต่ละประเทศที่จะกลายเป็นสงครามค่าเงินต่อไป ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศพยายามทำให้ค่าเงินอ่อนค่า เพื่อรักษาขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก
ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ได้ประเมินค่าเงินบาทของไทยหลังเกิดสงครามการค้า ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.2561 ที่สหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% และ 10% กับสินค้าจีนและประเทศคู่ค้ามีการตอบโต้ พบว่า ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 33.29 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งอ่อนค่าเป็นอันดับ 3 โดยค่าเงินหยวนจีนอ่อนค่ามากสุดอยู่ที่ 6.71 บาทต่อหยวน
สำหรับการส่งออกสินค้าไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งได้รวมผลกระทบจากสงครามการค้าที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว คาดว่าจะมีมูลค่า 1.29 แสนล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 5.5% เป็นการขยายตัวแบบชะลอตัวลงจากครึ่งปีแรกที่การส่งออกไทยขยายตัว 11% ส่งผลให้การส่งออกไทยปี 2561 มีมูลค่า 2.55 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.1% โดยมีปัจจัยบวก คือ เศรษฐกิจโลกยังคงเติบโต สหรัฐฯ ต่อสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ให้ไทย และค่าเงินบาทอ่อนค่า แม้บางประเทศจะเติบโตในระดับต่ำกว่าปี 2560 เช่น จีน ญี่ปุ่น อียู สหรัฐฯ
ส่วนปัจจัยลบที่มีผลต่อการส่งออกไทย นอกจากเรื่องสงครามการค้าแล้ว ต้องติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นถึง 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจทางอิหร่านที่เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. 2561 โดยห้ามบริษัทของสหรัฐฯ ทำการค้าขายและซื้อขายทอง และสหรัฐฯ จะเริ่มการห้ามซื้อขายน้ำมันดิบกับทางอิหร่านในวันที่ 4 พ.ย.2561 ด้วย ทำให้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้น และราคาสินค้าเกษตรของไทยตกต่ำ
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |