ทรัมป์กับสีจิ้นผิง : ใครอึดกว่าใครในสงครามการค้า?


เพิ่มเพื่อน    


    ซัดกันคนละหมัด สงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐ ภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์ กับจีนของสีจิ้นผิง ทำท่าจะไม่ใช่แค่เกม “เกทับบลัฟแหลก” เฉยๆ แล้ว
    เพราะล่าสุดจีนประกาศว่าจะเก็บเพิ่มภาษีสินค้ามะกันเข้าจีนเป็น 25% โดยตั้งเป้ามูลค่าสินค้าที่เข้าข่ายนี้ถึง 60,000 ล้านเหรียญ หรือเกือบ 2 ล้านล้านบาท...ถ้าทรัมป์เดินหน้าตามคำขู่ว่าจะปรับภาษีขาเข้าสินค้าจีนรวมมูลค่า 200,000 ล้านเหรียญฯ หรือ 6.4 ล้านล้านบาท
    แลกกันคนละหมัดอย่างนี้ ทำให้บรรยากาศการซื้อขายหุ้นและการลงทุนขอผงโลกเกิดอาการชะงักขึ้นอย่างกะทันหัน
    แรกๆ ที่ทรัมป์ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเรื่องจีน, สหภาพยุโรปและแคนาดาว่าเอาเปรียบเรื่องการค้ากับสหรัฐนั้น นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งบอกว่าคงเป็นเพียงวิธีการ “ขู่กรรโชก” สไตล์ทรัมป์ เพื่อจะได้นั่งลงต่อรองกับคู่ค้าให้สอดคล้องกับนโยบาย America First เท่านั้น
    บางคนใช้คำว่านี่ไม่ใช่ war แต่เป็นเพียง skirmish เท่านั้น
    แปลว่าไม่ใช่ “สงคราม” เป็นแค่ “ลอบยิงกันประปรายตอนอีกฝ่ายหนึ่งเผลอ” เท่านั้น
    แต่เมื่อทรัมป์รุกแรง และไม่หยุด เพราะต้องเอาใจฐานเสียงในรัฐต่างๆ ที่กลายเป็นเป้าของการเอาคืนจากจีน อีกทั้งปักกิ่งก็เสียฟอร์มไม่ได้ ต้องแสดงความแข็งแกร่งให้กับคนจีนเองได้เห็นว่าผู้นำของเขาไม่ได้หงอสหรัฐ ที่เป็น skirmish ก็กลายเป็น war
    ส่วน war นี้จะเล็กจะใหญ่ หรือจะกลายเป็น “ศึก” ที่เรียกว่า battle เป็นหย่อมๆ หรือไม่ยังต้องเฝ้าติดตามข่าวกันทุกวัน
    เพราะทรัมป์เปลี่ยนได้ตลอดเวลา เดี๋ยวตะโกนโหวกเหวก เดี๋ยวเสนอเจรจา เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น เดี๋ยวเกรี้ยวกราด เดี๋ยวพูดจาภาษาดอกไม้ เอาแน่ไม่ได้
    เช่น กรณีฟาดฟันกับสหภาพยุโรป ทรัมป์อาละวาดด้วยการบอกว่าจะขึ้นภาษีรถยนต์ยี่ห้อดังๆ จากเยอรมัน พอยุโรปซัดกลับด้วยการขึ้นภาษีสินค้ามะกันที่เป็นยี่ห้อระดับโลก ทรัมป์ก็ถอย และประกาศว่าตกลงว่าจะให้ทั้ง 2 ฝ่ายเก็บภาษีขาเข้าของกันและกันเป็นศูนย์
    เช้าพูดอย่างบ่ายพูดอีกอย่างได้อย่างไม่รู้สึกขวยเขินแต่อย่างไร
    แม้ในกรณีอิหร่านก็ไม่ต่างกันนัก ช่วงแรกทรัมป์ใช้วาทะรุนแรง บอกว่าจะต้องจัดการกับอิหร่านอย่างเด็ดขาด เพราะเป็นประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้ายทั่วโลก จำเป็นที่อเมริกาจะต้องตัดท่อน้ำเลี้ยงทั้งหมดด้วยการฉีกข้อตกลงสันติภาพทิ้ง 
    จากนั้นทรัมป์ก็ใช้ภาษากร้าวและดุดัน ฝ่ายโรฮานี ประธานาธิบอิหร่านก็ไม่ยอมถอย ตอบโต้ด้วยภาษาแรงไม่แพ้กัน
    ผ่านไปไม่กี่วัน ทรัมป์ก็บอกว่า “พร้อมจะพบกับผู้นำอิหร่านโดยไม่มีเงื่อนไขล่วงหน้า” ทั้งๆ ที่หลังเจอกับคิม จองอึน แห่งเกาหลีเหนือ ที่สิงคโปร์ ถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็นเปียงยางยอมเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์ หรือ denuclearize ตามที่ทรัมป์ได้คุยโม้โอ้อวดไว้ว่าได้สามารถหว่านล้อมให้ผู้นำเกาหลีเหนือยอมตามที่ตนต้องการแล้ว
    ทรัมป์บอกว่าจุดแข็งของตัวเองคือ การที่ไม่มีใครทำนายได้ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร
    ปัญหาใหญ่กว่านั้นก็คือ แม้กระทั่งคนในคณะรัฐมนตรีของทรัมป์เองก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเจ้านายตัวเองคิดอย่างไร และจะทำอะไรหรือไม่อย่างไร
    ในการตอบโต้ล่าสุดจากจีนในสงครามการค้านี้ ปักกิ่งระบุสินค้าจากอเมริกา 5,207 รายการ ที่เข้าข่ายการตอบโต้สหรัฐ “เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเราเอง”
    สินค้ามะกันที่จีนขึ้นแท่นเป็นเป้าของการปะทะการค้ารอบใหม่นี้มีทั้งเนื้อ, กาแฟ, ถั่ว, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, แร่ธาตุ, สารเคมี, สินค้าเครื่องหนัง, สินค้าไม้, เครื่องยนต์กลไก, เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น
    โฆษกทำเนียบขาวโต้กลับว่า จีนไม่ควรจะตอบโต้แบบหมัดแลกหมัด แต่ควรจะแก้ “ปัญหาความไม่เป็นธรรมในหลักปฏิบัติการค้ากับสหรัฐ” มากกว่า
    พูดง่ายๆ คือวอชิงตันกำลังบอกว่าปักกิ่งเอาเปรียบมาตลอด ทำให้จีนได้ดุลการค้าอย่างมโหฬาร แต่จีนแย้งว่าปัญหาหลักคืออเมริกาเองบริหารประเทศผิดมาตลอด ใช้เงินฟุ่มเฟือยทำสงครามกับใครต่อใครทั่วโลก ไม่ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ไม่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพียงพอ ทำให้เกิดความอ่อนแอในเศรษฐกิจของตัวเอง
    หรืออีกนัยหนึ่งจีนกำลังชี้นิ้วกลับไปที่อเมริกาว่า “ปัญหาอยู่ที่ตัวคุณเอง อย่าได้โยนความผิดให้กับประเทศอื่นเลย”
    ปฏิเสธไม่ได้ว่าจีนกับอเมริกาเป็นคู่ค้าใหญ่ที่สุดของโลก ยอดซื้อขายทั้งสินค้าและบริการระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่ ตกปีละไม่น้อยกว่า 650,00 ล้านเหรียญฯ หรือกว่า 20 ล้านล้านบาท
    ดังนั้น หากสงครามการค้าบานปลายกลายเป็นสงครามโลก และทุกประเทศต้องลุกขึ้นปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ทุกชาติทุกภาษาก็จะเสียหาย ไม่มีใครสามารถชนะสงครามนี้ได้ เพราะโลกทุกวันนี้ต้องพึ่งพากันมากขึ้นทุกวัน
    กลยุทธ์ของทรัมป์คือการขู่เข็ญคู่ค้า แม้จะเป็นพันธมิตรมาก่อน เพื่อให้ยอมมาต่อรอง จะได้แก้ไขกติกาให้สหรัฐสามารถขายของได้มากขึ้น
    ที่ทรัมป์ยังยื้อสงครามการค้าอยู่ เพราะต้องการจะช่วยให้พรรครีพับลิกันหาเสียงในการเลือกตั้งกลางเทอมเดือนพฤศจิกายนนี้ด้วยนโยบายที่ขายให้ชนชั้นกลางอเมริกา ว่าเขาปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการในรัฐต่างๆ ที่เป็นฐานเสียงตัวเอง
    แต่เมื่อจีนตอบโต้ด้วยการพุ่งเป้าไปที่สินค้าเกษตรในรัฐที่ต้องพึ่งพากันส่งออกไปจีน และเป็นฐานเสียงของทรัมป์ด้วย ทรัมป์ก็ต้องคิดหนัก ถึงกับของบพิเศษจากรัฐบาลไปเยียวยาชาวไร่ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายเผชิญหน้ากับจีนในเรื่องนี้
    ระหว่างทรัมป์กับสีจิ้นผิง ใครอึดกว่าใคร ใครจะกะพริบตาก่อน...อีกไม่นานก็รู้!.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"