(1)
อาทิตย์นี้...ก็มาถึงตอนจบของการ เทศน์มหานานาชาติ หรือเทศน์แบบอินเตอร์เนชั่นแนล ว่าด้วย...การออกจากวัตถุนิยม ที่ยาวอีเหลนเป๋น ปาเข้ามาครบโหล หรือครบ 12 ตอนพอดิบพอดี ส่วนจะมีเนื้อหา สาระ น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ ยังไงก็แล้วแต่ โยมทั้งหลาย คงต้องเก็บไปตรองๆ ดูเอาเองก็แล้วกัน...
(2)
แต่เมื่อมาถึงตอนนี้...หรือตอนทิ้งท้าย เพื่อจะเน้นให้เห็นถึงความสำคัญอย่างฉกาจฉกรรจ์ ของ การออกจากวัตถุนิยม ว่ามันมีคุณค่า ราคา มากน้อยขนาดไหน ก็คงต้องขออนุญาตไปนำเอาแบบ เอาแนวคิด ของอภิมหานักคิด นักเขียน นักกฎหมาย และนักอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะมากมาย รวมทั้งอาจถือเป็น นักการศาสนา ควบคู่ไปด้วยก็ยังได้ เพราะในฐานะผู้ที่ยอมตาย ยอมพลีชีพ เพื่อดำรงความเชื่อ ความยึดมั่นในทางศาสนา ยอมให้กษัตริย์ตัดหัว แต่ไม่ยอมเลิกเชื่อ เลิกยึดมั่น ในแนวทางของพระผู้เป็นเจ้า นั่นก็คือ เซอร์ โธมัส มอร์ (Sir Thomas More) อภิมหารัฐบุรุษชาวอังกฤษ ผู้ได้เสกสรรค์ ปั้นแต่ง นครแห่งจินตนาการ ที่มีชื่อว่า ยูโธเปีย (Utopia) ขึ้นมาในห้วงความรู้สึก นึกคิด ของผู้คนตั้งแต่แรกนั่นเอง...
(3)
ซึ่ง ยูโธเปีย ตามแบบฉบับ ต้นฉบับของแท้ แต่ดั้งเดิม ของ เซอร์ โธมัส มอร์ นั้น ย่อมเป็นคนละเรื่อง คนละม้วน กับผู้ที่พยายามหยิบเอาถ้อยคำและจินตนาการเหล่านี้ มาใช้ประโยชน์ในทางการเมือง อย่างเช่น พวกคอมมิวนิสต์ คอมมูหน่อยทั้งหลาย อยู่แล้วแน่ๆ นครแห่งจินตนาการที่มีชื่อว่า ยูโธเปีย อันถือเป็นนครแห่งสันติสุข สันติภาพ ตามความฝัน ความปรารถนาของอภิมหารัฐบุรุษผู้นี้ จึงแตกต่างไปจาก ยูโธเปีย ของพวกวัตถุนิยม อย่างเห็นได้ชัดเจน ตรงที่ การออกจากวัตถุนิยม หรือ ไม่ออกจากวัตถุนิยม นั่นเอง...
(4)
เพื่อที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างดังกล่าว...จึงคงต้องขออนุญาตไปนำเอาสำนวนแปล ของอาจารย์ สมบัติ จันทรวงศ์ ที่ได้ลงทุนแปลหนังเล่มนี้เอาไว้ตั้งเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว มาถ่ายทอดเอาไว้ โดยเฉพาะช่วงที่ระบุว่า...“ดังนั้นกษัตริย์ยูโธปัส (ผู้ปกครองนครยูโธเปีย) จึงไม่กำหนดให้ประชาชนนับถือศาสนาใดๆ โดยปล่อยให้แต่ละคนมีอิสระที่จะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาพึงประสงค์ แต่มีข้อยกเว้นอยู่ข้อเดียวเท่านั้น คือพระองค์ได้ออกกฎหมายที่สำคัญและรุนแรง ในการกำหนดบทลงโทษต่อผู้ที่ถือว่า ต่ำทรามกว่าศักดิ์ศรีตามธรรมชาติของมนุษย์ นั่นก็คือผู้ที่เชื่อว่า...วิญญาณนั้นจะตายไปพร้อมๆ กับร่างกาย หรือความเชื่อที่ว่า จักรวาลนั้น มีความเป็นไปโดยบังเอิญ โดยมิได้มีพระเจ้าปกครองดูแล...”
(5)
บอกต่อไปอีกว่า...“เพราะสำหรับชาวยูโธเปียนั้น ล้วนเชื่อว่า...หลังจากชีวิตนี้แล้ว ย่อมต้องมีการลงโทษต่อผู้ที่กระทำความชั่ว และการให้รางวัลต่อผู้ที่ปฏิบัติคุณธรรม พวกเขาเชื่อว่า...คนที่ไม่ได้เชื่อ หรือไม่ได้ยึดมั่นต่อแนวคิดเช่นนี้ คือผู้ที่ต่ำทรามจนแทบไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุเพราะทำให้วิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์นั้น ตกต่ำลงไปไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์ป่า คนเช่นนั้นจึงไม่เหมาะสมสำหรับสังคมมนุษย์ เพราะถ้าเขามีความกล้าหาญมากพอ เขาก็คงพร้อมที่จะแสดงออกถึงการเยาะเย้ยบรรดากฎหมาย ระเบียบ ประเพณีทั้งปวงได้เสมอๆ เนื่องจากใครจะไปเชื่อได้ว่า คนที่ไม่กลัวอะไรอื่นเลยนอกเสียจากกฎหมาย และไม่เชื่อว่าจะมีกฎอื่นใดหลังไปจากความตาย จะไม่หัวเราะเยาะเย้ยกฎหมายในประเทศตัวเองอย่างลับๆ หรือพร้อมเสมอที่จะละเมิดกฎหมายดังกล่าวเพื่อสนองต่อประโยชน์ หรือความโลภส่วนตน ดังนั้น...คนที่ทัศนะเช่นนี้เป็นผู้ที่ไม่ควรให้เกียรติใดๆ ทั้งสิ้น และจะไม่มีการมอบตำแหน่งทางการปกครอง หรือการสาธารณะใดๆ ให้แก่เขา มิหนำซ้ำเขายังจะถูกดูแคลนจากผู้คนโดยทั่วไป ว่าเป็นผู้ที่มีธรรมชาติอันเลวทราม และปราศจากคุณค่าใดๆ ทั้งสิ้น...”
(6)
นี่...ความแตกต่างระหว่าง ความเป็นวัตถุนิยม หรือ ไม่วัตถุนิยม มันจึงมีความสำคัญอยู่ที่อีตรงนี้นั่นแหละท่าน คือมันทำให้ คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ หรือ วิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ ย่อมไหลไปสู่ทิศทางที่ผิดแผก แตกต่าง ไปจากกันและกัน อย่างเห็นได้โดยชัดเจน จนหนีไม่พ้นต้องหาทางทำให้ผู้ที่เป็นผู้เป็นคน หรือผู้ที่ได้ชื่อว่า มนุษย์ ทั้งหลาย ต้องถอนตัวออกมาจากทัศนคติและแนวคิดดังกล่าวโดยไว และโดยสิ้นเชิงเท่านั้น ถึงจะทำให้สังคมนั้นๆ ชาตินั้นๆ ประเทศนั้นๆ มีโอกาสบรรลุถึงซึ่งสันติสุข สันติภาพ ตามความปรารถนา ความต้องการ ได้อย่างเป็นจริง เป็นจัง ไม่ว่าจะปกครองกันด้วยระบบ หรือระบอบใดๆ ก็แล้วแต่ เอวัง...ก็จึงมีด้วยประการฉะนี้...แล...
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |